ทฤษฎี "ม้าตาย" กับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

 

ลงจากหลังม้าตาย: ปัญหาชายแดนใต้กับรัฐไทยในโลกคู่ขนาน

มีเรื่องเล่าสนุกปนเศร้าจากฝั่งตะวันตก เรียกกันว่า Dead Horse Theory หรือทฤษฎีม้าตาย ฟังครั้งแรกดูขำๆ แต่พอลองคิดดีๆ ก็สะท้อนอะไรหลายอย่างจนเราอาจขำไม่ออก สาระสำคัญของมันคือ เมื่อใดที่เราพบว่าม้าที่เราขี่อยู่นั้นตายไปแล้ว ทางออกที่ง่ายและฉลาดที่สุดคือการลงจากม้าแล้วมองหาหนทางใหม่

แต่ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายเหมือนเรื่องเล่า คนเรามักทำตรงข้ามกับสามัญสำนึก และยืนยันจะขี่ม้าตายตัวนั้นต่อไป สร้างข้ออ้างสารพัด เช่น เปลี่ยนอานใหม่ ปรับปรุงอาหาร เปลี่ยนคนขี่ ไล่คนดูแลม้าออก หรือแม้แต่จัดตั้งคณะกรรมการศึกษา ซึ่งสุดท้ายก็พบคำตอบที่รู้อยู่แล้วว่า "ม้าตายไปนานแล้ว" บ้างก็เปลี่ยนวิธีให้อาหารม้า แม้ม้าจะไม่มีวันกินได้อีกต่อไปแล้ว

รัฐไทยกับปัญหาชายแดนใต้ดูคล้ายจะตกอยู่ในอาการแบบนั้น คือดื้อดึงขี่ม้าตายตัวเดิมมาแล้วกว่าสองทศวรรษ แม้ว่าจะรู้ดีมาตลอดว่าแนวทางเดิมๆ ทั้งการเน้นความมั่นคงทางทหารที่เพิ่มกำลังพล เปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปเรื่อยๆ หรือการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่มาตอกย้ำสิ่งที่คนพื้นที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้วแต่ต้น ว่ามันล้มเหลวไปนานแล้วนั้น จะไม่มีทางสำเร็จ แต่รัฐไทยก็ยังดึงดันไม่ยอมเปลี่ยนแก่นปัญหา

ปัญหาแท้จริงของการขี่ม้าตายชายแดนใต้ ไม่ได้อยู่ที่รัฐไทยไม่รู้ทางออก แต่เพราะรัฐไทยรู้ดีว่าการลงจากม้าหมายถึงการยอมรับความล้มเหลวของแนวคิดรัฐชาติรวมศูนย์ที่ตัวเองยึดถือมาเนิ่นนาน หมายถึงการยอมรับว่า "รัฐราชการ" ที่คุ้นชินกับการรักษาอำนาจผ่านกระบวนการซ้ำซากไร้ประสิทธิผลนั้นหมดสภาพ และหมายถึงการยอมรับในความแตกต่างทางอัตลักษณ์ ที่รัฐไทยพยายามกดทับและปฏิเสธมาโดยตลอด

ความไม่จริงใจต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการเมืองเรื่องอัตลักษณ์นี้เอง ที่ทำให้รัฐไทยขี่ม้าตายอย่างเพลิดเพลินใจอยู่ในโลกคู่ขนาน และเลือกจะปฏิเสธความจริงที่ว่าปัญหาชายแดนใต้ไม่เคยหายไปไหน

ที่สำคัญ "ม้าตาย" ในบริบทไทย ยังมีประโยชน์อีกอย่างที่รัฐไม่พูดตรงๆ นั่นคือประโยชน์ในการผลิตซ้ำอำนาจรัฐ โดยอาศัย "สถานการณ์พิเศษ" ในพื้นที่ชายแดนใต้ เป็นเงื่อนไขในการคงไว้ซึ่งกฎหมายพิเศษ อำนาจทางการทหาร และอำนาจรัฐในการควบคุมประชาชนภายใต้ความกลัวและความรุนแรงที่ดำเนินไปไม่สิ้นสุด ม้าตัวนี้ แม้จะตายไปแล้วในสายตาคนพื้นที่ แต่กลับมีประโยชน์กับรัฐเสมอมา

บทสรุปที่น่าเศร้าก็คือ ปัญหาชายแดนใต้ที่ไม่มีวันจบนี้ แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นความตั้งใจในการรักษาไว้ซึ่งอำนาจรัฐรวมศูนย์ ในขณะที่ประชาชนในพื้นที่ต่างต้องจ่ายต้นทุนด้วยชีวิตและความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีวันที่รัฐจะยอมรับและยอมลงจากหลัง "ม้าตาย" ตัวนี้เสียทีทฤษฎี "ม้าตาย" (Dead Horse Theory) เป็นอุปมาเชิงเสียดสีที่สะท้อนภาพการจัดการกับปัญหาซึ่งแจ้งชัดว่าไร้ทางแก้ของปัจเจกบุคคล สถาบัน หรือรัฐบางแห่ง ที่ยังคงยึดมั่นกับวิธีการหรือมาตรการเดิมๆ แทนที่จะยอมรับข้อเท็จจริงและปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ

แก่นหลักของแนวคิดนี้มีอยู่อย่างง่ายๆ ว่า เมื่อบุคคลตระหนักได้ว่าตนกำลังควบขี่ "ม้าตาย" (กล่าวคือ ใช้วิธีการหรือเครื่องมือที่หมดสมรรถนะแล้ว) สิ่งที่สมเหตุสมผลและชาญฉลาดที่สุดคือการหยุดควบขี่และแสวงหาหนทางอื่นแทน

อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริง เรากลับพบเห็นการปฏิบัติที่ตรงข้ามกับความสมเหตุสมผลดังกล่าว กล่าวคือ แทนที่จะละทิ้ง "ม้าตาย" ผู้คนหรือองค์กรกลับดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น

  • จัดซื้ออานม้าใหม่ เพื่อหวังจะฟื้นฟูประสิทธ์ภาพของม้าที่ยุติการมีชีวิตไปแล้ว
  • ปรับปรุงโภชนาการหรือการให้อาหารแก่ซากม้า
  • เปลี่ยนผู้ขี่ม้า โดยมิได้แตะต้องปัญหาหลักที่แท้จริง
  • ไล่ผู้ดูแลม้าออก แล้วว่าจ้างบุคคลใหม่เพื่อคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป
  • ประชุมระดมความเห็นเพื่อหาทางเพิ่มความเร็วให้ม้าที่เสียชีวิตแล้ว
  • ตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อศึกษา วิเคราะห์ ประเมินปัญหาม้าตายจากทุกมุมมอง คณะกรรมการนี้ใช้เวลาหลายเดือน จัดทำรายงาน และในที่สุดก็สรุปสิ่งที่ปรากฏชัดแต่แรกเริ่มว่า "ม้าตัวนั้นตายแล้ว"
  • อ้างความชอบธรรมให้กับความพยายามต่อไป และสรุปว่าปัญหาเกิดจาก "การขาดการฝึกอบรมที่เหมาะสม"
  • เสนอจัดฝึกอบรมเพิ่มเติมให้ม้า อันหมายถึงการของบประมาณเพิ่มมากขึ้น
  • นิยามคำว่า "ตาย" ใหม่ เพื่อโน้มน้าวตนเองว่า ม้ายังมีศักยภาพที่อาจปลุกฟื้นขึ้นมาได้
  •  

บทเรียนที่ปรากฏจากทฤษฎีนี้ก็คือ การแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ปัจเจกและองค์กรจำนวนไม่น้อยเลือกจะปฏิเสธการเผชิญความจริง ใช้ทรัพยากร เวลา และพลังงานอย่างเปล่าประโยชน์ไปกับวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ก่อผลสำเร็จ แทนที่จะยอมรับสภาพปัญหาตั้งแต่แรก และตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและความเป็นจริงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า

ตัวอย่างของรัฐไทยในปัจจุบันที่เข้ากับ "ทฤษฎีม้าตาย" นั้น สามารถยกกรณีปัญหาความขัดแย้งและเหตุรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐไทยเผชิญมานานกว่าสองทศวรรษ ดังนี้

หากจะประยุกต์ "ทฤษฎีม้าตาย" กับบริบทนี้ อาจกล่าวได้ว่า:

การจัดการปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้ของรัฐไทย เปรียบเสมือนการขี่ "ม้าตาย" กล่าวคือ แม้จะตระหนักดีว่าการดำเนินมาตรการเดิม ๆ ทั้งในเชิงความมั่นคง การทหาร หรือการแก้ไขปัญหาเชิงสัญลักษณ์ไม่สามารถนำไปสู่สันติภาพอย่างยั่งยืนได้ รัฐไทยกลับเลือกที่จะยืนหยัดบนแนวทางแบบเดิม โดยยกระดับหรือปรับเปลี่ยนเฉพาะรายละเอียดที่ไม่แตะต้องแก่นของปัญหา เช่น

  • เพิ่มงบประมาณและจัดซื้ออุปกรณ์ทางการทหารใหม่ ๆ (ซื้ออานใหม่) โดยไม่สนใจว่าแนวทางด้านการทหารแบบเดิมนั้นล้มเหลวในการยุติปัญหาแล้ว
  • เปลี่ยนแปลงผู้บัญชาการทหาร หรือผู้นำในพื้นที่บ่อยครั้ง (เปลี่ยนผู้ขี่) เพื่อคาดหวังว่าการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ
  • จัดตั้งคณะกรรมการเจรจาสันติภาพชุดแล้วชุดเล่า (ตั้งคณะกรรมการศึกษาว่าม้าตายหรือยัง) ซึ่งท้ายที่สุดก็เพียงสรุปได้ในสิ่งที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าแนวทางเดิมนั้นใช้ไม่ได้ผล และปัญหายังคงอยู่
  • ปรับเปลี่ยนชื่อหรือคำนิยามของปัญหาใหม่ เช่น พูดคุยสันติภาพ เป็น พูดคุยสันติสุข ฯลฯ 

บทเรียนที่สำคัญจากตัวอย่างนี้ คือ การที่รัฐไทยยังคงปฏิเสธที่จะลงจาก "ม้าตาย" โดยเลือกยืนยันวิธีการแบบเดิม ๆ ที่พิสูจน์ซ้ำแล้วว่าล้มเหลว ยิ่งทำให้สูญเสียทรัพยากร เวลา และชีวิตประชาชนไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะที่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือแนวทางใหม่ที่กล้าจะรับความจริง กลับไม่ได้รับความจริงจังและความสนใจเท่าที่ควร ทำให้ "ม้าตาย" ยังคงถูกขี่อยู่ต่อไปโดยรัฐไทยจนถึงปัจจุบัน

ประการแรก: ปัญหาเชิงโครงสร้างและรัฐรวมศูนย์

ความล้มเหลวของรัฐไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เพียงผลจากการขาดประสิทธิภาพของมาตรการหรือบุคคลเท่านั้น แต่มีรากฐานจากการยึดมั่นในโครงสร้างรัฐชาติแบบรวมศูนย์ (Centralized Nation-State) ซึ่งยืนกรานที่จะขี่ "ม้าตาย" อย่างการใช้อำนาจรัฐผ่านเครื่องมือด้านความมั่นคงและการบริหารแบบราชการส่วนกลางที่ไม่สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อพลวัตของพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง ทฤษฎีการเมืองเชิงโครงสร้าง (Structuralism) ชี้ให้เห็นว่าการรักษาสภาพที่เป็นอยู่นี้ เป็นเพราะโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ปิดกั้นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นฐานและยังได้ประโยชน์จากการรักษาสถานะของปัญหาไว้

ประการที่สอง: แนวคิดรัฐราชการกับภาวะ "ม้าตาย"

การที่รัฐไทยเลือกใช้กลไกบริหารราชการ (Bureaucratic State) และวัฒนธรรมองค์กรราชการในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถละจาก "ม้าตาย" ได้ แนวคิดรัฐราชการชี้ว่าระบบราชการมักให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของโครงสร้างและกลไกมากกว่าประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา ด้วยเหตุนี้เอง รัฐไทยจึงยังคงผลิตซ้ำวาทกรรมและมาตรการเดิมๆ อย่างการตั้งคณะกรรมการ เจรจาสันติภาพ หรือเพิ่มกำลังทหารอย่างไม่สิ้นสุด โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะหากยอมรับว่าม้าตายจริง ก็เท่ากับเป็นการสั่นคลอนความชอบธรรมของระบบราชการและกลไกรัฐเองไปด้วย

ประการที่สาม: การเมืองเรื่องอัตลักษณ์และการปฏิเสธความจริง (Politics of Denial)

ทฤษฎีการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ (Identity Politics) มีส่วนในการอธิบายว่าทำไมรัฐไทยจึงยากจะละจาก "ม้าตาย" เพราะการยอมรับปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ในฐานะปัญหาทางอัตลักษณ์และวัฒนธรรม เท่ากับว่ารัฐต้องยอมรับว่าตนเองล้มเหลวในการรวมชาติหรือสร้างเอกภาพเชิงอัตลักษณ์ การยึดมั่นกับ "ม้าตาย" เช่นนี้ก็คือ การที่รัฐไทยเลือกที่จะปฏิเสธการเผชิญความจริงทางการเมืองในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย และยืนกรานที่จะรักษาอุดมการณ์รัฐเดี่ยวแบบชาติเดียว (One Nation-State Ideology) ไว้ให้ได้ แม้ว่าจะต้องจ่ายต้นทุนสูงเพียงใดก็ตาม

ประการที่สี่: การผลิตซ้ำความขัดแย้งเพื่อคงอำนาจรัฐ (Conflict as Reproduction of Power)

การขี่ม้าตายมาตลอดสองทศวรรษ ชี้ให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งว่า สถานการณ์ที่รัฐไทยยังขี่ "ม้าตาย" ต่อไปนั้น อาจไม่ใช่ความไร้ประสิทธิภาพหรือการมองปัญหาผิดพลาดโดยสุจริต แต่เป็นการผลิตซ้ำ "สภาวะยกเว้น" (State of Exception) ขึ้นมาอย่างจงใจ สภาวะนี้ช่วยสร้างความชอบธรรมในการดำรงอยู่ของอำนาจรัฐผ่านกลไกด้านความมั่นคง การทหาร และกฎหมายพิเศษ เพื่อคงการควบคุมพื้นที่ด้วยความกลัวและการควบคุมประชากร ทฤษฎีวิพากษ์จึงชี้ว่า "ม้าตาย" ในกรณีนี้ เป็น "เครื่องมือ" ในการคงไว้ซึ่งสถานะเหนือธรรมดาของรัฐ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ รัฐเลือกขี่ม้าตาย เพราะการมี "ม้าตาย" ช่วยให้รัฐคงความชอบธรรมในอำนาจได้ง่ายกว่า

กรณีจังหวัดชายแดนใต้ที่รัฐไทยยังคงขี่ "ม้าตาย" จึงมิใช่เพียงเรื่องของความไร้เหตุผลหรือการบริหารจัดการที่ผิดพลาดเท่านั้น หากแต่เป็นผลพวงจากโครงสร้างทางการเมือง วัฒนธรรมองค์กรราชการ อุดมการณ์รัฐชาติ และการเลือกปฏิเสธความจริงที่ฝังรากลึก ซึ่งยิ่งทำให้การแก้ปัญหาด้วยวิธีการเก่าๆ คงอยู่ต่อไป แม้จะพิสูจน์ชัดแล้วว่าล้มเหลวก็ตาม การมองผ่านเลนส์ของทฤษฎีการเมืองเหล่านี้ช่วยชี้ให้เห็นว่า ตราบใดที่รัฐไทยยังปฏิเสธที่จะลงจาก "ม้าตาย" เชิงโครงสร้าง ก็ยากที่สันติภาพหรือการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ได้