เผชิญหน้ากับโควิด 19 ที่ค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยาวชนโรฮิงญากับการช่วยเตรียมพร้อมกับรับมือกับการแพร่ระบาด

 
ทุกๆ วัน ก่อนที่แสงตะวันจะขึ้น มีนักเรียนคนหนึ่งชื่อว่าโรบีตื่นขึ้นมาละหมาดในค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน พวกเขาสามารถละหมาดได้ที่มัสยิดท้องที่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสถานที่หลบภัยจำนวนไม่มากสำหรับชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ที่ค็อกบาซาร์ แต่มัสยิดและโรงเรียนถูกปิดเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ไปสู่กลุ่มดังกล่าว ผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกได้รับการยืนยันเมื่อเดือนที่แล้ว และจำนวนตัวเลขก็เพิ่มขึ้น
 
"เรากำลังอยู่แบบซื้อเวลา" เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งของ Save the Children กล่าว
 
มีผู้พลัดถิ่นจำนวนมากอยู่ที่นี่และครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชาวโรฮิงญาจากพม่าที่หนีตายออกมาจากบ้านหลังจากถูกปราบอย่างหนักจากทหาร ปฎิบัติที่เจ้าหน้าที่ของ UN เรียกว่า "การกวาดล้างชาติพันธุ์ให้หมดไป" โรบี เด็กหนุ่มวัย 20 ปลายๆ ขอให้ผู้สัมภาษณ์เรียกเขากับเล่นเรียกดังกล่าว 
 
"ชีวิตยากลำบากมากในค่าย" เขาบอก 
 
พื้นที่ที่เขาอาศัยกับพ่อแม่และน้องสาววันสิบห้าขวบตอนนี้ถูกปิด โดยมีตำรวจควบคุมการเดินทางระหว่างหมู่บ้านต่างๆ "มันเป็นเรื่องยากลำบากมากในการที่จะไปซื้อผักที่ตลาด" เขากล่าว "ผู้คนกำลังอดตาย"
 
ในช่วงปลายเดือนมีนาคม รัฐบาลจำกัดการเข้าออกค่ายขององค์กรที่ทำงานด้านมนุษยธรรมกว่า 100 องค์กรในการพยายามจะลดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ตอนนี้ เฉพาะคนทำงานด่านหน้าเท่านั้นที่ถูกอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ พวกเขาจัดหาอาหารและยารักษาโรคให้คนในค่ายแต่งานดังกล่าว "ยังไม่เพียงพอต่อการระบาดของโรค" Rayburn เจ้าหน้าที่ Save the Children กล่าว
 
เด็กชาวโรฮิงญาเหมือนกับโรบีพยายามจะช่วยชุมชนของพวกเขาเพื่อเตรียมพร้อมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่ละหมาดที่บ้านและทานอาหารเช้าเสร็จ เขาเข้าไปร่วมจิตอาสากับคนอื่นในการขนย้ายถุงยังชีพของสาธารสุข ซึ่งบรรจุหน้ากาก ถุงมือ สบู่ ยาฆ่าเชื้อ และยาแก้ไข้ พวกเขาซื้อสิ่งของเหล่านั้นจากเงินบริจากที่ได้จากเพื่อน ญาติพี่น้อง และผู้มีจิตศรัทธาจากกลุ่มคนทำงานด้านการช่วยเหลือ
 
โรบีและเด็กชายคนอื่นช่วยกันแบกกล่องกระดาษแข็งที่บรรจุสิ่งของผ่านตามตรอกซอกซอยที่อยู่ระหว่างบ้านที่ทำด้วยไม้ไผ่ พวกเขาใส่ถุงมือยางและหน้ากากหลากสีสันในการขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ 
 
่การรณรงค์โดยคนหนุ่มสาวในเรื่องการล้างมือและการรักษาระยะห่างทางสังคมยังมีอยู่น้อยมาก "เราหวังว่าผู้คนจะเชื่อเราและพวกเขาจะทำตามคำแนะนำของเรา" โรบีกล่าว "มันคือช่วงเวลาที่สำคัญและเรารู้ว่าสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้คือช่วงเวลาที่เราต้องออกมาช่วยกัน" ขณะนี้สิ่งที่เขามีคือข้อมูลต่างๆ ในการบอกต่อ แต่สิ่งของ ถุงยังชีพ และเงินสนับสนุนนั้นหมดแล้ว 
 
Loise Donovan เจ้าหน้าที่ของ UNHCR บอกว่า มีผู้อพยพหลายกลุ่มไม่น้อยกว่า 2000 อาสาสมัครกำลังทำงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 "เราโชคดีที่สามารถทำงานได้อย่างสามัคคีกับกลุ่มเยาวชนของผู้อพยพ ซึ่งทำงานได้เป็นอย่างดีและน่าชื่นชม" เขากล่าว "มันเป็นความร่วมมือที่สำคัญ"
 
ที่ค็อกบาซาร์ มันมีสิ่งที่เรียกว่าระยะห่างทางสังคม ที่นี่ผู้คนอยู่แบบแออัดประมาณ 100,000 คนต่อตารางไมล์ ในพื้นที่แออัดแบบนี้ การเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่ถูกสุขลักษณะเป็นเรื่องยาก "ผู้คนวิตกกังวลเป็นอย่างมาก" โรฮิงญาคนหนึ่งบอก "ผู้คนอาศัยอยู่ด้วยกัน ใช้ห้องน้ำด้วยกัน สายฉีดน้ำเดียวกัน ทุกอย่าง ถ้าคนหนึ่งติดเชื้อมา ทุกอย่างจะเป็นอันตราย" 
 
โรคระบาดนี้ทำให้ชีวิตที่นี้ยากลำบากมากขึ้น ความไม่แน่นอนก็เช่นกัน การพูดคุยในการส่งตัวกลับไปพม่าหยุดชะงัก เนื่องจากประเทศต่าง ๆ เพ่งจัดการกับโควิด19 ศูนย์เรียนรู้ซึ่งถูกใช้สอนเด็กๆ กลายเป็นสถานที่ร้าง 
 
สิ่งที่น่ากังกลมากที่สุดสำหรับโรฮิงญาตอนนี้คืออาหาร แม้ว่า World Food Program ได้จัดหาสิ่งของที่จำเป็นให้แล้ว เช่น ข้าว น้ำมัน ถั่ว ชาวโรฮิงญาก็จำเป็นต้องซื้อของเพิ่ม เช่น ปลา เนื้อ นม และผักด้วยกับเงินของตัวเอง "ที่ตลาด ทุกอย่างราคาก็ขึ้นเพราะโควิด" "ผู้อพยพไม่มีงานทำ พวกเขาจึงซื้อไม่ได้" Arafat บอก 
 
สิ่งที่ทำให้ค่ายผู้ลี้ภัยยากลำบากมากขึ้นคือการตัดขาดพวกเขาจากโลกภายนอก เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว รัฐบาลบังกลาเทศได้ตัดสัญญานโทรศัพท์ในบริเวณค่าย โดยใช้เหตุผลทางความมั่นคง ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถติดต่อกับญาติพี่น้องที่อยู่ที่อื่นได้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี้รับข่าวเรื่องโควิดจากปากสู่ปากและข่าวลือ แม้ว่าจะมีความพยายามในการให้ความรู้ แต่ก็ยังมีโรฮิงญาที่เชื่อว่าพวกเขาจะติดโควิดเพราะว่าเป็นมุสลิมที่ไม่ดี หรือไม่ก็เพราะพวกเขากินค้างคาว 
 
กลุ่มคนทำงานในการช่วยเหลือและ UNHCR พยายามกดดันเพื่อให้สัญญานสื่อสารสามารถกลับมาใช้งานได้ การขาดสัญญานอินเตอร์เน็ตทำให้ขาดการเข้าถึงข้อมูล พวกเขากำลังกดดันอย่างหนักกับรัฐบาลบังกลาเทศเพื่อให้ปล่อยสัญญานอินเตอร์เน็ต เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าว ในการรับมือกับการแพร่ระบาด การสื่อสารทางออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าสำหรับการค้นหาและการต่อสู้กับข่าวปลอม 
 
มันเป็นเรื่องที่ยากมากในการได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากโรฮิงญา Daniel Coyle ผู้ประสานงานของ IOM กล่าว ข่าวลือที่ว่าเจ้าหน้าที่จะฆ่าคนที่ติดไวรัสแพร่กระจายไปทั่ว "ลองนึกดูว่าพวกเขาต้องหนีตายจากบ้านเพราะความรุนแรงและบาดแผลทางจิตใจ ตอนนี้สถานที่กักกันกำลังสร้าง และถ้าคุณถูกนำตัวไปอยู่ที่นั้นแยกจากครอบครัว ผมแน่ใจว่ามันต้องทำดูยิ่งน่ากลัว" 
 
ในส่วนของโรบี เขาพยายามจะสร้างขวัญและกำลังใจใหักับเราและผู้คนรอบๆ เขา "เรายังมีความหวัง มนุษย์ทุกคนมความหวัง" เขาบอก "เราไม่ได้อยู่โลกนี้ตลอดไป เราอยู่แค่ชั่วคราว เราควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยกัน เพื่อสันติภาพ มันคือบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ชาติ" 
 
 
เขียนโดย Karen Pinchin
แปลโดย ปาตานีฟอรั่ม