ส่องความคิดคู่ขัดแย้งปาตานี/ชายแดนใต้ โดย อาทิตย์ ทองอินทร์ ตอนที่ 1
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งปาตานี/ชายแดนใต้ การฟาดฟันทางความคิดของคู่ขัดแย้งระหว่างฝ่ายความมั่นคงไทยและฝ่ายขบวนการต่อสู้ปาตานี มีความสำคัญอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการคลี่คลายความขัดแย้งในพื้นที่ สืบเนื่องจากคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งต้องยอมรับว่าต่างก็มีอิทธิพลทางความคิดและการปฏิบัติการของกลุ่มพลังทางสังคมและประชาชนในพื้นที่ในการแสวงหาสันติภาพอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ที่ผ่านมาการจะทำความเข้าใจความคิดของคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายมันช่างยากเสียเหลือเกิน หากทำได้ก็เพียงแค่การทำความเข้าใจผ่านปรากฎการณ์ บทวิเคราะห์หรือความรู้เชิงหลักการทฤษฎี และสัญญะต่างๆที่ถูกทำให้รับรู้เชิงประจักษ์ด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจากคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายเท่านั้นซึ่งเราสามารถรับรู้ได้จากงานเอกสารและบทสนทนาของนักกิจกรรมและนักวิชาการหลายท่าน หนึ่งในนั้นก็คือ อาจารย์อาทิตย์ ทองอินทร์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งครั้งหนึ่งในกิจกรรมของ ปาตานี ฟอรั่ม ได้มีโอกาสรับฟังมุมมองและร่วมเสวนา จนมิอาจเก็บไว้เรียนรู้แต่ผู้เดียวแต่อยากจะนำมารายงานเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจทั้งที่ฝักฝ่ายหรือไม่ฝักฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม
อาจารย์อาทิตย์ เริ่มต้นด้วยการชี้ว่า เมื่อพูดถึงพลวัตรทางความคิดและการต่อสู้ของฝ่ายความมั่นคงที่มีต่อขบวนการมุสลิมในประเทศไทยซึ่งเอาจริงๆมันไม่เคยมีพลวัตรเท่าไหร่ โดยจะชี้ให้เห็นประเด็นดังนี้
เวลาเราพูดถึงฝ่ายความมั่นคงแล้ว น่าสนใจชวนถกในเชิงทฤษฎีก่อนว่า ความมั่นคงคืออะไร ความมั่นคงก็คือความอยู่รอดปลอดจากภัยคุกคาม เราอาจจะตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่าอะไรคือภัยคุกคาม ใครมีสิทธิจะนิยามว่าภัยคุกคามคืออะไร ทั้งนี้ Concept หลักอย่างง่ายซึ่งอาจมองคำถามนี้ได้จาก 2 มุม คือ เวลาเราพูดถึงความมั่นคง เรากำลังหมายถึงความมั่นคงของรัฐหรือความมั่นคงของมนุษย์ เรากำลังหมายถึงความอยู่รอดของรัฐ ความปลอดจากภัยคุกคามของรัฐ หรือกำลังหมายถึงความปลอดภัยของมนุษย์ ความปลอดจากภัยคุกคามของมนุษย์
ถ้าเราเชื่อตามทฤษฎี หรือปรัชญาการเมืองในการสร้างรัฐขึ้นมา มนุษย์อยู่ในสภาวะธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและพวกเขาเหล่านั้นยอมละทิ้งอาวุธ ยอมละทิ้งการใช้ความรุนแรงแล้ว ทำสัญญากันเข้ามาอยู่ภายใต้กรอบของรัฐเพื่อให้รัฐปกป้องความหวาดกลัวจากภัยคุกคามต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวาดกลัวต่อการเสียชีวิต นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเกิดรัฐสมัยใหม่ เราพบว่าความมั่นคงของรัฐที่เป็นอยู่ในหลายๆประเทศอาจะไม่พูดถึงเพียงแค่ประเทศไทย มันกลายเป็นว่าเขาพยายามจะรักษาความมั่นคงของรัฐโดยไปทำลายพื้นฐานการเกิดขึ้นของรัฐเสียเองคือทำให้ประชาชนหวาดกลัว ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ในทางทฤษฎีแล้วนั้นความมั่นคงของรัฐและความมั่นคงของมนุษย์เป็น Concept ที่สัมพันธ์กัน ทั้งในเชิงบวกและลบ อยู่ที่ว่าเราจะบริหารจัดการอย่างไร รัฐมองอย่างไร
“ผมเพิ่มความซับซ้อนอีกนิด เวลาบอกว่าอะไรคือความมั่นคง มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็น Unnatural selection คือไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้นทางสังคม อะไรคือความมั่นคงและอะไรคือภัยคุกคามนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติเป็นเรื่องที่ถูกกล่อมเกลาขึ้นทางสังคมเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นทางภาษา ผมยกตัวอย่างวาทกรรมง่ายๆที่อยู่ในสังคมไทย ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องมากนัก เช่น เจอแขกกับเจองู ตีอะไรก่อน คำตอบเป็น ตีแขก นี่เป็นธรรมชาติหรือไม่ แขกเป็นภัยคุกคามทางธรรมชาติหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่เป็นสิ่งที่ถูกขัดเกลาขึ้นทางสังคมจากสถาบันพื้นฐานต่างๆ รวมถึงวงศาคณาญาติ เพื่อนฝูงมิตรสหายในสังคมไทย จนเรารู้สึกกับมันอย่างคุ้นชิน เคยชิน โดยไม่เห็นว่ามันมีความผิดปกติ หรือน่าสงสัยอยู่ในความรู้สึกนั้น เพราะฉะนั้นตัวความมั่นคงก็เช่นเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้น”
"คำถามต่อมาคือ ใครมีสิทธิประกอบสร้างขึ้น ตรงนี้ไม่ว่าจะความมั่นคงของประชาชนหรือของรัฐก็ตาม อะไรบ้างที่จะทำให้เป็นความมั่นคง มันต้องผ่านกระบวนการ Securitization หรือการทำให้เป็นเรื่องของความมั่นคง ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะกลายเป็นเรื่องความมั่นคง มีแค่บางเรื่องเท่านั้นที่ถูกทำให้เป็นเรื่องความมั่นคง ตัวอย่างเช่น การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสักที่หนึ่ง ในมุมมองของชุมชนนี่คือภัยคุกคามที่กระทบความมั่นคงของเขา แต่หากมองในมุมของรัฐแล้วรัฐอาจบอกว่าไม่ใช่ รัฐอาจคิดว่าโครงการนี้คือการกำลังสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ อันจะนำไปสู่การยับยั้งการเกิดขึ้นของขบวนการติดอาวุธ ผ่านการทำให้คนมีงานทำ แก้ปัญหายากจน ถามว่าตรงนี้ใครมีสิทธิในการสร้างเรื่องบางเรื่องให้เป็นความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงของรัฐหรือมนุษย์ก็ตาม ทุกๆเรื่องมันถูกทำแบบนี้หมดเราพบในปรากฏการณ์โลกร้อนสำหรับปัญหาของพื้นที่ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสารคดีของอัลกอ แห่งพรรคเดโมแครต สารคดีชุดนั้นทำให้ประเด็นเรื่องโลกร้อนกลายมาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของมนุษยชาติ แต่ในมุมของพรรค รีพับลีกันอาจบอกไม่ใช่ เพราะฉะนั้นนี่คือกระบวนที่มันสร้างขึ้น ในบริบทปัจจุบัน"
อาจารย์อาทิตย์ชวนให้คิดต่อว่า พอพูดถึงการสร้างรัฐสมัยใหม่และความมั่นคงในวันนี้ เราก็กำลังพูดถึงความมั่นของการอยู่ในสภาวะสมัยใหม่ อยู่ในกรอบของรัฐสมัยใหม่ รัฐสมัยใหม่ซึ่งมันยืนพื้นอยู่บนราคาและคุณค่าของมนุษย์แต่ละคน รัฐอ้างว่ามันดำรงอยู่เพื่อคนแต่ละคนโดยที่ชีวิตของคนมีค่า เปรียบเทียบกับรัฐสมัยจารีตไม่ว่าจะเป็นรัฐศาสนาหรือรัฐอะไรก็แล้วแต่ เกือบจะทั้งหมดมนุษย์ล้วนเป็นของรัฐ โดยรัฐอาจจะ Claim ตัวเองว่าได้สิทธิเป็นโอรสแห่งสวรรค์เป็นอะไรต่างๆก็แล้วแต่ แต่มนุษย์นี่คือทรัพย์สินของรัฐคือทรัพยากรของรัฐ ผู้ปกครองรัฐคือเจ้าชีวิต นั่นคือรัฐแบบจารีต แต่ถ้าสมัยใหม่จะอ้างถึงความชอบธรรมในการปกครองขึ้นมา จากการอ้างว่ารัฐมีไว้เพื่อจัดการให้มนุษย์อยู่อย่างมีคุณภาพที่ดี และไม่ใช่มนุษย์ที่พูดแบบรวมๆ เป็นเนื้อเดียวกันทั้งก้อน แต่หมายถึงมนุษย์เป็นรายบุคคลเลยทีเดียว เวลาเราพูดถึงรัฐสมัยใหม่มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโยงมนุษย์เข้ากับการเป็นปัจเจก
“เราอยู่ในบริบทของปัจเจกแต่ละคนคิดถึงแต่ความมั่นคงของแต่ละคนและแน่นอนมันกระจัดกระจายเราแต่ละคนอาจจะมองความมั่นคงไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะบอกว่าความมั่นคงคือรัฐรักษาอาณาเขตดินแดนเอาไว้ที่บรรพบุรุษสร้างให้ นั่นคือความมั่นคงของรัฐ มนุษย์บางคนอาจจะบอกว่าสันติภาพต่างหาก การอยู่รอดปลอดภัยอยู่ดีมีสุขในพื้นที่ใดๆก็ได้คือความมั่นคงของเขา กล่าวคือเขาอาจจะมองในมุมความมั่นคงของมนุษย์ เราอยู่ในสภาพของการมองความมั่นคงกันอย่างกระจัดกระจายหลากหลายมากแต่ละคนอาจจะอยู่ในกลุ่มต่อสู้เดียวกันอาจจะมองไม่เหมือนกัน ปัญหาก็คือว่าแล้วรัฐจะหลอมรวมสำนึกที่แตกต่างเหล่านี้มาสนับสนุนงานความมั่นคงของรัฐได้อย่างไร นั่นคืออุดมการณ์ที่มีการทำงานคล้ายคลึงกับอุดมการณ์ที่หลอมรวมว่าจะทำให้คนไปตายเพื่อรัฐได้อย่างไร ในเมื่อรัฐควรปกป้องคนไม่ใช่คนไปปกป้องรัฐ ซึ่งซับซ้อนแต่ง่ายที่สุดคือการใช้ศรัทธา"