ชาร์ลี เอ็บโด เสรีภาพคนละขั้ว

Charlie Hebdo เป็นกระแสหน้าหนึ่งของการพูดถึงอีกครั้ง โดยบทความหนึ่งชิ้นเป็นตัวจุดชนวนเรื่องอิสลามเช่นเคย 

 

ปลายเดือนมีนาคม Charlie Hebdo ที่ผ่านมา นิตยสารล้อเลียนชื่อดังของฝรั่งเศส ที่ถูกข่มขู่โดยมือปืนก่อการร้ายไปเมื่อเดือนมกราคม 2015 ได้ออกนิตยสารฉบับที่ใช้บทบรรณาธิการชื่อว่า “How Did We End Up Here?” (เรามาลงเอยตรงนี้ได้อย่างไรในควันหลงจากอีกสองเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ตามมาในปารีส เดือนพฤศจิกายน และในบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 22 เดือนมีนาคมที่ผ่านมา บทบรรณาธิการดังกล่าวสานต่อการโจมตีอิสลามว่าเป็นศาสนาที่ดูหมิ่นคติความเป็นฆราวาสนิยมที่ฝรั่งเศสเชิดชู

 

 

 

ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญจากทุกแขนงพยายามทำความเข้าใจเหตุผลของการโจมตีกรุงบรัสเซลส์นี่คือประโยคขึ้นต้นของบทความดังกล่าว ต่อด้วยการยิงคำถามว่ามันคือตำรวจขาดความสามารถพหุวัฒนธรรมที่คุมไม่อยู่คนรุ่นใหม่ตกงาน?”  อิสลามนิยมที่เสรีเกินไป?” กระนั้นหรือ ซึ่งในมุมมองนักเขียนการ์ตูน โลร็อง ซูรีโซ หรือเรียกสั้นๆ ว่าริสส์ผู้เขียนหลักของบทความฟังธงว่าเหตุผลต่างๆ ที่มักจะถูกเอ่ยอ้างเหล่านี้ล้วนนอกประเด็นทั้งสิ้นก้าวแรกที่ผิดพลาดคือการโทษผู้บริสุทธิ์เขาเขียนไว้ในส่วนถัดไป

 

ริสส์ มองปัญหานี้เป็นปัญหาส่วนบุคคล ไม่ใช่ปัญหาโครงสร้างแต่อย่างใด บทความจึงมุ่งเป้าไปที่ตัวละครมุสลิม 4 ตัว หนึ่งในนั้นมีตัวตนจริง อีกสามคนเป็นมุสลิมชาย-หญิงที่ถูกสมมติขึ้นเป็นสัญลักษณ์

 

ที่มีตัวตนจริงก็คือ ฎอริค รอมาฎอน อาจารย์คนดังผู้เชี่ยวชาญด้านอิสลามร่วมสมัยศึกษา จากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ที่เพิ่งจะบินไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยด้านสังคมศาสตร์ Sciences Po วิทยาเขต แซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แล ของฝรั่งเศส  “ฎอริค รอมาฎอนตามเนื้อหาในบทความคงไม่ลุกขึ้นมาคว้าปืนอาก้ากราดยิงนักข่าวในวงประชุมบรรณาธิการ หรือทำระเบิดไปถล่มสนามบินที่ไหนนั่นคงไม่ใช่บทบาทของเขาแต่บทบาทของเขาคือการหันเหผู้คนจากการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาของเขาในทุกๆ ทาง” 

 

บทความกล่าวต่อว่านักศึกษารัฐศาสตร์ที่เข้าฟังเขาบรรยายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อใดที่ได้ก้าวมาเป็นนักข่าวหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นย่อมไม่กล้าที่จะเขียนหรือพูดเชิงลบใดๆ เกี่ยวกับอิสลาม รอยกะเทาะในความเป็นฆราวาสนิยมที่เกิดกับพวกเขาในวันนั้นจะผลิดอกออกผลเป็นความกลัวที่จะวิจารณ์สิ่งใดที่แสดงถึงโรคกลัวอิสลาม

 

ในทำนองเดียวกัน ตัวละครสมมติในบทความอย่างหญิงคลุมฮิญาบและชายขายขนมปังชาวมุสลิม ก็มีบทบาทของตน คือการทำให้ผู้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนบนท้องถนน และให้คนไม่กล้าที่จะซื้อแซนด์วิชอบชีส กับ แซนด์วิชบาแกตต์ไส้แฮม ทั้งที่มันเป็นเมนูพื้นฐานของชาวฝรั่งเศสเขาจะชินกับมันได้ไม่ยากบทความค่อนแคะก็เหมือนที่ ฎอริค รอมาฎอน แนะนำ เราจะปรับตัว”   

ตัวละครสมมติที่สามคือเด็กหนุ่มนักเลงชาวมุสลิมที่ขึ้นแท็กซี่ไปยังสนามบินบรัสเซลส์กับกลุ่มเพื่อน อย่างไรก็ตามท่อนสำคัญของบทความคือการเปรียบเทียบ รอมาฎอน กับหญิงคลุมฮิญาบ คนขายขนมปัง และเด็กหนุ่มหัวรุนแรงที่ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่สนามบินหรือสถานีรถไฟใต้ดินของบรัสเซลส์จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยหากไม่มีส่วนร่วมจากทุกคน(ที่กล่าวมา)”

 

ในตอนท้าย บทความสรุปว่าเด็กหนุ่มมุสลิมหัวรุนแรงกลุ่มนั้น ไม่ได้โจมตีคนบริสุทธิ์ที่กำลังจะบินกลับบ้านหรือขึ้นรถไฟไปทำงาน แต่สิ่งที่พวกเขาเจาะจงโจมตีคือนามธรรม คือความคิดเรื่องโลกวิสัยบทความดังกล่าวยืนยันว่าอิสลามต่อต้านฝรั่งเศส ต่อต้านความเป็นยุคใหม่ ต่อต้านการใช้สติปัญญา อิสลามห้ามการบรรยาย แลกเปลี่ยน และที่สำคัญคือการโต้แย้ง

 

ปัจจุบันฝรั่งเศสเป็นประเทศยุโรปที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุด และบทบรรณาธิการของ Charlie Hebdo ชิ้นนี้นับว่าเป็นการแสดงครั้งใหม่ล่าสุดถึงความหวาดวิตกหมู่ที่ถูกโหมกระพือในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มันคือกระแสความกลัวว่าอนาคตจะเกิดฝรั่งเศสแบบอิสลาม”  เป็นภาวะวิตกจริตอันเป็นแก่นของนิยายขายดีปี 2015 ชื่อว่า  “Soumission” ของ มิเชล ฮูเวลเบค และเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดเสียงเตือนอย่างต่อเนื่อง เช่นจากนักปรัชญา อแลง ฟิงเคลครอท ที่ยืนกรานว่า การกล่าวหาคนว่าเป็นโรคเกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) เป็นรูปแบบที่อันตรายที่สุดของแนวคิดต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ (anti-racism) ในทรรศนะของฟิงเคลครอท การต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติจะเป็น(สิ่งบั่นทอน)ศตวรรษที่ 21 เหมือนกับที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นในศตวรรษที่ 20” 

 

ความหวาดวิตกระลอกใหม่แสดงออกล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้เช่นกัน เมื่อสายการบิน Air France ประกาศให้พนักงานหญิงบนเครื่องต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะในเที่ยวบินตรงปารีส-เตหะราน ที่เปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากระงับไปนานหลายปี ทั้งนี้สมาพันธ์สำคัญแห่งหนึ่งได้กล่าวประณามว่านโยบายนี้ถือเป็นการโจมตีสตรี” 

 

ไม่ได้ต่างจากทุกครั้ง บทบรรณาธิการชิ้นนี้ของ Charlie Hebdo จุดกระแสถกเถียงร้อนแรงทั้งในและนอกประเทศ สำหรับบุคลากรบางส่วนขององค์กรสื่อดังกล่าว จุดที่น่าขันที่สุดคือการที่บทความจากนิตยสารล้อเลียนที่แสบสันที่สุดในหมู่สิ่งพิมพ์หยิบยกคำถามเรื่องการปิดปาก แต่กรณีนี้ใครกันแน่คือผู้ที่ถูกปิดปากผู้คนสมมติที่แวะไปยังคาเฟ่และไม่ได้แซนด์วิชแฮมสมใจ หรือตัวของ ฎอริค รอมาฎอน 

มีใส่ร้ายการไปปรากฏตัวของผมโดยหวังผลที่กว้างกว่า มันถูกใช้เพื่อสื่อว่าอะไรที่พวกเราไม่ต้องการ’” รอมาฎอนเคยให้สัมภาษณ์ไว้ผมคือตัวแทนของอิสลามแบบที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม” 

 

สามเดือนแรกของปี 2016 รอมาฎอน (ซึ่งมักถูกกล่าวหาเรื่องการพูดสองแบบเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนในยุโรป กับเมื่ออยู่ในโลกอิสลาม) ถูกแบนไม่ให้บรรยายในหลายเมืองของฝรั่งเศสอย่าง เบซิเยร์  อาร์จองเตย  ออร์เลอ็อง และบอร์โดซ์ ไม่เว้นแม้แต่ที่สถาบัน Arab World Institute ในปารีสคนเหล่านั้นที่อยู่ฝั่งฉันคือชาลีอย่างชัดเจน มักจะห้ามไม่ให้ผมพูดได้อย่างสบายใจ” 

 

นักวิชาการชื่อดังของฝรั่งเศส 4 คนได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ Le Monde ฉบับวันอาทิตย์ สืบเนื่องจากบทบรรณาธิการที่เป็นกระแสนี้ว่าในประเทศที่ผู้คนนับล้านแห่กันไปยังท้องถนนเพื่อปกป้องสิทธิในการแสดงความคิดเห็นตามข้อความระบุใครจะห้าม ฎอริค รอมาฎอน คนที่เราเลือกจะเกลียดไม่ให้พูดก็ย่อมได้ โดยไม่ต้องมีกฎหมายมารับรอง” 

 

สำหรับ รอมาฎอน มองว่าเป็นปรากฏการณ์ฝรั่งเศสแท้ที่ไม่มีใครลอกเลียนได้  “เป็นไปได้อย่างไรเขากล่าวที่ที่นั่นจะเป็นประเทศเดียวที่ผมไม่สามารถบรรยายในมหาวิทยาลัยได้”