“วัฒนธรรม” และ “เพื่อนร่วมโลก” จนกว่าเราจะเข้าใจกัน

“เราสูญเสียเพื่อนร่วมโลกจากสงครามและสงครามกลางเมือง การปฏิวัติ ชาติพันธุ์ การแบ่งแยก ความเกลียดชัง
ในรอบระยะเวลา ๑๕๐ ปี ประชาชนทั้งหมดที่โดนฆ่าไปประมาณ ๑๖๐ ล้านคน"  
 Pierie Scruff

ความไม่เหมือนมีตั้งแต่มนุษย์เริ่มเกิดมา แต่ความพยาบาทฉายแสงเมื่อมนุษย์เริ่มไม่เรียนรู้หรือ(ทำเป็น)ไม่เข้าใจ ความขัดแย้งกันเพราะความต่างก็มีให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น ไม่ว่าจะส่วนไหนของโลกมี “รอยร้าว”และ “รอยแหว่งวิ่น” มาจากพื้นฐานเพราะเรื่องบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน  บาดแผลของโลกที่มนุษย์ร่วมโลก “ร่วมกันกรีด” ก็มักจะมาจากเหตุผลเล็ก ๆ บางประการ

จึงไม่แปลกในงานเขียนของ Samuel Huntington ศาสตราจารย์ทางด้านการเมืองการปกครอง จากสำนักฮาวเวิร์ด ได้พยายามอธิบายปรากฏการณ์ในเรื่อง “The Clash of Civilization” พอที่จะสรุปได้ว่า
 
ความต่างมันไม่ได้เกิดจาก “วัฒนธรรม” ที่ผลักใสและกดทับจนกลายเป็น “ความขัดแย้ง” ไม่มีความขัดแย้งไหนที่กลั้นแรงอัดไม่ไหวจนกลายเป็น “ความรุนแรง” แต่โดยมากของ “ความไม่เข้ามิติแห่งวัฒนธรรม” จนกลายเป็น “ความแค้น” และ “พยาบาท” ที่ยาวนาน
มีมิติอื่นอีกไหมที่พยามให้มนุษย์ฆ่าล้างเพื่อนร่วมโลกกันได้เพียงนี้ ?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในชั่วโมงที่เข็มนาฬิกาเริ่มกระดิกเดินไปอย่างเฉื่อยชา ญี่ปุ่นอาจกำลังสร้างมิตรใหม่เพื่อความอยู่รอดในเวทีการเมืองโลกผ่านความน่าเชื่อถือทางด้านเศรษฐกิจ
 
ประเทศจีนอาจผลิตสารกัมมันตภาพตรังสีบางอย่างเพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาและรัสเซีย
อีกด้านหนึ่งของแผนที่โลกอิหร่านกำลังหาทางออกจากการโดนรุกรานด้วยการเตรียมกองกำลังครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์เพื่อตอบโต้มหาอำนาจที่กำลังหาทางเข้าคุกคามอยู่ทุกเมื่อ
 
คนภูเก็ตกำลังหนีตายจากแผ่นดินใหญ่บนเกาะที่มาพร้อมกับคำสาปแห่งคลื่นมรสุมที่พร้อมกระหน่ำชีวิตได้ทุกเมื่อ ชาวออสซีเพิ่งจะเสร็จจากการกู้ภัยน้ำท่วมที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน  ไม่ต่างจากส่วนหนึ่งของหาดใหญ่ที่เจ้าหน้าที่กำลังกู้ซากการพังล่มของโรงแรมหรูใจกลางเมือง

นับตั้งแต่โลกเมื่อ ๑๕๐ ปีที่ผ่านมา เกิดสงครามนับครั้งไม่ถ้วนให้กับโลก บาดแผลที่ถูกตราตรึงบนผืนดิน รอยร้าวที่ฝังแน่นบนเรือนร่าง คราบน้ำตาที่ทิ้งรอยไหลบนเบ้าตาอันอ่อนโยนและ อ่อนนิ่มค่อนข้างไปสู่อ่อนไหว ปรากฏให้เห็นผ่านการเปิดหีบแห่งเรื่องราวด้วยการเริ่มเข้าสู่ประวัติศาสตร์โลกแห่งสงครามและการต่อสู้เพื่อการห้ำหั่นกันอย่างสมบูรณ์และฆ่าฟันกันอย่างเป็น “กิจจะลักษณะ” ของเพื่อนร่วมโลกที่มีชื่อว่า “มนุษย์”

จนกระทั่ง Pierie Scruff เขาได้เขียนไว้ว่า “โลกเราสูญเสียประมาณ ๑๖๐ ล้านคนจากสงครามและสงครามกลางเมือง การปฏิวัติ ชาติพันธุ์ การแบ่งแยก ความเกลียดชัง ในรอบระยะเวลา ๑๕๐ ปี ประชาชนทั้งหมดที่โดนฆ่าไปประมาณ ๑๖๐ ล้านคน”
 
“ปี ๑๘๖๐ – ๑๘๖๕ สงครามกลางเมืองในอเมริกาเกิดการสูญเสียประมาณ ๓๖๐,๐๐๐ คน, ปี ๑๘๘๖-๑๙๐๘ สงครามระหว่างเบลเยี่ยมกับคองโกผู้เสียชีวิตประมาณ ๓ ล้านคน ,ปี๑๘๙๙ – ๑๙๐๒ สงครามระหว่างบริติชกับโบเออร์ สูญเสียไปประมาณ ๑ แสนคน, ปี ๑๙๐๔  เยอรมันปะทะกับนาบีเมีย จำนวน ๖๕,๐๐๐ คนที่ต้องเสียชีวิต

ยังไม่รวมปี ๑๙๐๔ – ๑๙๐๕ สงครามระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซีย,ปี๑๙๑๐-๒๐ การปฏิวัติของชาวแมกซิโกผู้คนสูญเสีย ๒๕๐,๐๐๐ คน , ปี ๑๙๑๑  ประเทศจีนปฏิวัติ ผู้คนตายไป ๒ ล้าน ๔ แสน, เหมือนอย่างปี ๑๙๑๔- ๑๙๑๘ สงครามโลกครั้งที่ ๑ ผู้คนสูญเสียประมาณ ๘ ล้านคน,และในปี ๑๙๑๗-๑๙๒๑ การปฏิวัติในรัสเซีย ผู้คนสูญเสียประมาณ ๕ ล้านคน, และปี ๑๙๒๘-๑๙๓๗ สงครามกลางเมืองในประเทศจีน ผู้คนสูญเสียประมาณ ๒ ล้านคน,เหตุการณ์ในปี๑๙๓๑ สงครามญี่ปุ่นแมนจู ผู้คนตายประมาณ ๑ ล้าน ๑ แสน

“เกือบ ๘๐ ปีเหตุการณ์เหล่านี้พรากชีวิตเพื่อนร่วมโลกไปมากกว่า ๒๒ ล้านคน”
ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้านั่งอ่านบทความดังกล่าว ส่วนอื่น ๆ ของโลกที่เป็นไปก็กำลังโดนทำลายและเป็นเหยื่อของความไม่เหมือนที่กำลังกลายเป็นชนวนแห่งความไม่เข้าใจดังกล่าว

อินโดนีเซียแผ่นดินถล่มพร้อมภูเขาไฟไหลทะลักมาอย่างจัง  เด็กน้อยวิ่งหนีกระเจิงหาแม่ในขณะเด็กข้าง ๆ ยังอิ่มหนำในอ้อมกอดของบุพการี
ในผืนแผ่นดินยุโรปนายกรัฐมนตรีหลายประเทศกำลังพาลูกเมียไปพักผ่อนตากอากาศ
 
มิยาบิ ดาราดังกำลังลงแช่น้ำเพื่อผ่อนคลายในประเทศไทย

ในขณะโซระกำลังหนีร้อนมาพึ่งน้ำสงกรานต์ที่บุรีรัมเอฟซี

พม่ากำลังออกกฎหมายห้ามการลักลอบขนยาเสพติดในขณะที่เม็ดยาจำนวนมหาศาลเพิ่งถูกส่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้

ประเทศไทยกำลังหากฎหมายสักฉบับหนึ่งเพื่อความสงบสุขทว่าโรงแรมหรูใจกลางเมืองเพิ่งโดนระเบิดไปเมื่อวินาทีที่แล้ว
 
ใครจะรู้ว่าเด็กอีกคนกำลังลืมตามาดูโลกอย่างสงสัยความบิดเบี้ยวบู้บี้บางอย่างจากรอยแผลในขณะเรือนร่างคนแก่กำลังหลับตาและถอนหายใจเฮือกสุดท้ายบนเสื่อน้ำมันเก่า ๆ ที่ปราศจากลูกหลานเหลียวแลในเมืองที่มีรถไฟความเร็วสูงสั่นครางบนรางคู่อย่างรวดเร็ว

ภาพความสุขเลอะเปื้อนแก้มพลางหลับตานึกถึงตัวเลขแห่งการสูญเสียอีกรอบ
 
ปี ๑๙๓๖-๓๙ สงครามกลางเมืองในสเปน ผู้คนก็สูญเสียมากมายราว ๖ แสนคน, ยังไม่รวมถึง สงครามโลกครั้งที่ ๒และจีนปฏิวัติในปี ๑๙๓๙-๔๕  ผู้คนหายไปจากโลกประมาณ ๕๕ ล้านคน, สงครามกลางเมืองในประเทศจีน ในปี ๑๙๔๖-๔๙ ผู้คนก็สูญเสียไปเยอะมากประมาณ ๑ ล้าน ๒ แสน, สงครามอาหรับกับอิสราเอลในปี ๑๙๔๘-๗๓ ผู้คนก็สูญเสียไปเยอะมากประมาณ ๗๐,๐๐๐ คน

สงครามเล็ก ๆ อย่างสงครามกลางเมืองของแคชเมียร์ ปี ๑๙๔๘ ผู้คนสูญเสียประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน, รัสเซียยกทัพเข้ามาในปี ๑๙๗๙-๘๘ ผู้คนที่นี่ก็สูญเสียไปประมาณ ๑ ล้าน ๓ แสน ,ยังไม่รวมถึงสงครามอิรัคและอิหร่านที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ปี๑๙๘๐-๘๘ ผู้คนสูญเสียไป ๑ ล้านคน, หรือสงครามกลางเมืองของอิรัคโดยประเทศอเมริกาในปี ๒๐๐๓  ผู้คนสูญเสียไปประมาณ ๑ล้าน ๒ แสนและสถานการณ์อื่น ๆ ที่โลกกำลังตกสำรวจ”
รวมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประมาณ ๑๕๐ ปีที่ผ่านมา

โดยนักวิเคราะห์คนสำคัญที่ชื่อ “Pierie Scruff” เขาได้เขียนไว้ว่า “โลกเราสูญเสียประมาณ ๑๖๐ ล้านคน การสังเวยลักษณะนี้รวมทั้งสงครามโลก สงครามกลางเมืองล้างเผ่าพันธุ์”
 
โลกหมุนเป็นเกลียวคลื่นแห่งความรุนแรง ประเทศทั่วอาณาบริเวณเป็นผลพวงแห่งรอยร้าวดังกล่าว ความต่างเล็กน้อยของมิติแห่งความไม่เข้าใจวัฒนธรรมคือ ชนวนตัวฉกาจที่พร้อมจุดไฟราคะของมนุษย์ได้ทุกเมื่อ

ใครเล่าจะรู้ว่า เอกสารรับสมัครนักศึกษาใหม่ที่ประเทศอินเดียในปีการศึกษานี้ ต้องการเอกสารการศึกษาและใบแสดงผลการศึกษาเพิ่มเติมกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะหลักฐานการจบการศึกษาของนักศึกษาไทย เหตุผลก็คือ เอกสารจบในแบบเดิมที่ใช้ไม่สมบูรณ์เพราะนักศึกษาไทยไม่ได้จบมัธยมปลายชั้น 10+2 Class ในขณะเดียวกัน เอกสารจากประเทศไทยคือ มัธยมหกเป็นปีสุดท้ายของชั้น ม.ปลาย เพียงแต่ใบจบการศึกษานั้นไม่ได้ระบุ 10+2 Class ไว้เพราะ ความต่างของวัฒนธรรมที่เราไม่เข้าใจกัน
 
ใครเล่าจะเข้าใจว่า คะแนนผลการเรียนนักศึกษาไทยที่ออกในใบเกรดนั้น ตัดคะแนนเกรดตั้งแต่ ๕๐ คะแนนโดยได้เกรด ๑ และต่ำกว่า ๕๐ ก็จะเท่ากับ ๐ เมื่อนำมายื่นสมัครที่อินเดีย ทางผู้บริหารปฏิเสธลงอย่างไม่เป็นท่าเพียงเพราะ คะแนนที่ได้เกรดเฉลี่ย ๑ ไม่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ใครละจู้ว่าเกรด ๑ ของไทยนั้นเท่ากับ ๕๐ คะแนน ในขณะ อินเดียไม่ได้ตัดคะแนนเป็นเกรด แต่อินเดียใช้ระบบเปอร์เซ็นเข้ามาเกี่ยวข้อง และตัดผ่าน ๑๐๐ จากคะแนน ๓๖ คะแนน

ภาพไม่ประติดประต่อบางอย่างกำลังเคลื่อนที่มาถึงจุดหนึ่งที่เพื่อนร่วมโลกกำลังหาจุดร่วมแห่งความโสมม พอ ๆ กับนักวิทยาศาสตร์กำลังใช้สารเคมีบางอย่างในการวิจัยเพื่อค้นพบเครื่องมือให้โลกสงบสุขขึ้น ภาพแห่งความไม่เข้าใจกันเริ่มแผ่ขยายไปทั่ว จนตะวันออกกลางกำลังลุกเป็นไฟจากคลื่นมหาชนกำลังรวมตัวประท้วงและทำลายป้ายโฆษณา
 
ในเครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศไทย ปลายทางประเทศอินเดียของสายการบินฮ่องกง Cathay Pacific กำลังให้บริการอาหาร ชายคนหนึ่งถามถึง “อาหารฮาลาล” (ที่ผ่านการเชื่อมและกรรมวิธีแบบอิสลาม) บริกรตอบว่า “อาหารฮาลาลมีบริการเพราะ เที่ยวบินของเรามีมุสลิมโดยสารมาก” ชายคนนั้นถามว่า มีอะไรบ้างที่เป็นอาหารฮาลาล

บริกรบอกว่า อาหารฮาลาลที่เราเตรียมมานั่นก็คือ แกะที่ผ่านการเชือดอย่างดี ไก่ก็เป็นอีกชนิดหนึ่งที่มุสลิมทานได้เพราะผ่านกรรมวิธีแบบอิสลาม แต่แกะหมด แล้วบริกรก็บอกว่า “ปลาพอจะได้ไหม เป็นอาหารฮาลาลไหม เพราะยังไม่ได้เชือด”

ความเป็นจริง ปลาคืออาหารฮาลาลสำหรับมุสลิมอยู่แล้ว แม้จะเชือดหรือไม่ก็ตาม “ใครเล่าจะรู้และสำนึกโดยหน้าที่ในการอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้เพื่อนร่วมโลกฟัง”

ฟุตบอลอังกฤษระหว่าง Manchester city – Norrish city ท่านผู้ชมเข้า มาเชียร์กันเต็มสนาม ภาพตัดไปที่หญิงสาวร่างใหญ่ในตักสะพายลูกที่เพิ่งคลอดไม่ถึงห้าเดือน เธอยืนดูบอลในขณะในมือยังอุ้มลูก ความเป็นไทยอธิบายมันอย่างโหดร้าย จนการกระทำของหญิงสาวไม่มีข้อดี ในขณะการชมฟุตบอลของหญิงสาวอังกฤษกลายเป็นชีวิตจิตใจ ใครเล่าจะเข้าใจเมื่อความเป็นไทยกับความเป็นอังกฤษไม่เหมือนกัน
 
แผลของโลกปรากฏชัดราวใส่แว่นขยาย ในขณะที่เพื่อนร่วมโลกยังไม่เข้าใจที่ไปที่มาของบาดแผลดังกล่าว
ไม่แปลกที่โลกจึงไม่เคยขาดหายการหำหั่น  สังคมไม่เคยห่างหดความโกลาหลและการเชือดเฉือน ประชาชาติไม่เคยขาดพร่องจากการติฉินและฆ่าฟัน โลกจึง “สะสมและหมักดองความเกลียดชัง” จน “เกือบเน่า” ด้วยกับ “ซากศพ” และ “ความบอบช้ำ” ของบาดแผลที่เกลื่อนเมือง
 
สรุปแบบง่ายก็คือ “สันติภาพไม่ใช่การปลดแอก หรือ ปลดปล่อย กระทั่งมันไม่ได้หมายความห่าเหวอะไรทั้งนั้น สันติวิธีก็ไม่ใช่เรื่องของการทำให้คนหนึ่งกลายเป็นผู้ชนะ และสันติสุขก็ไม่ได้ขีดให้คนหนึ่งเป็นแพะรับบาปหรือผู้แพ้ แต่สันติภาพที่เรากำลังทำความเข้าใจคือ การเข้าถึงแกนแห่งความสงบและความสุข ทุกคนจึงเท่ากัน”
 
เพราะมันคือ นัยยะแห่ง อัสลามูอาลัยกุม (หากคุณเข้าใจมันอย่างจัง แต่หากคุณเมินเฉย กระสุนที่คุณเหนี่ยวไกในมือก็พร้อมจะลั่นตลอดเวลา แม้ปากคุณสวดและพร่ำบ่นมัน) ?