บ่นสนทนา:ปัญ(หา)ญาชนนักศึกษาในรั้วปาตานี

ค่ำคืนนี้ท้องฟ้ายังคงประกายด้วยแสงดาวระยิบระยับรายล้อมจันทร์เสี้ยว บรรยากาศยังคงมีลมเบาๆพัดผ่านเป็นระยะๆ บนดาดฟ้าตึกกิจกรรมนักศึกษา มอ.ปัตตานี เสียงจอแจเป็นจุดๆไม่ว่าจะมาจากใต้ตึก ห้องชมรม ที่เป็นเรื่องปกติยังคงมีให้เห็นเกือบทุกค่ำคืน บางกลุ่มรวมตัวเพื่อติวหนังสือ บางกลุ่มก็ทำรายงาน บ้างทำโครงงานกิจกรรมที่ใกล้จะถึงวันนัดหมายของเอก คณะ หรือชมรม พี่ดูแลน้องเป็นพักๆ ประธานกลุ่มกิจกรรมนำการประชุมด้วยท่วงทำนองของการเป็นผู้นำ เพื่อนๆสมาชิกร่วมแลกเปลี่ยนช่วงเวลาชีวิตของนักศึกษาชั่งระรื่นอะไรเช่นนี้

ขณะเดียวกันค่ำคืนนี้ท่ามกลางหมู่ดาวที่แลเห็นก้อนเมฆบดบัง ยังคงมีกลุ่มนักศึกษาปัญญาชนไม่มากกลุ่ม ไม่มากคน กำลังทบทวนถึงตัวตนนักศึกษา สังคมและความขัดแย้ง พวกเขากำลังบอกเล่าเรื่องราว สถานการณ์ ชะตากรรมของเพื่อนพ้องนักศึกษาภูมิภาคต่างๆที่กำลังขับเคลื่อนกิจกรรม แสดงความคิดเห็นสาธารณะสะท้อนการเมืองอันปรากฎให้เห็นบนหน้าสื่อทุกวี่วัน คืนนี้พวกเขา กลุ่มนักกิจกรรมนักศึกษากำลังถกเถียง เรียนรู้กับปรากฎการณ์เหล่านั้น

“ขอบคุณเพื่อนนักศึกษาที่มาคุยกันในค่ำคืนนี้ แต่ก็มีบางคนที่มาไม่ได้ เพราะมีภารกิจสำคัญ ที่ผ่านมาเพื่อนๆนักศึกษาทำกิจกรรมมากมาย แต่ก็ต่างคนต่างทำ ทั้งนี้เพราะเราไม่เคยคุยกัน ประสานกัน แม้นค่ำคืนนี้ เราจะมานั่งคุยกันไม่กี่คน แต่คาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะก่อให้เกิดจุดต่อๆไป และหวังว่าเราจะพยายามที่จะแลกเปลี่ยนและขบคิดกัน” เป็นถ้อยคำพูดของ ซูการไนท์ เกริ่นก่อนจะชวนเพื่อนๆนักศึกษาคนอื่นๆแลกเปลี่ยนต่อว่า “เราเคยเห็นเพื่อนๆคุยกันเรื่องขบวนการนักศึกษา ขบวนการประชาชนที่ขับเคลื่อนเรื่องประชาธิปไตยในสังคมไทย แต่วันนี้เราก็ลองกลับมาดูว่าเพื่อนนักศึกษาในมหาลัยของเราทำอะไร ทำกิจกรรมแบบไหน”

ซุบกี หนึ่งในคณะกรรมการสโมสรนักศึกษา แลกเปลี่ยนว่า นักศึกษาทุกวันนี้ทำกิจกรรมตามแผนงานประจำปีที่องค์กรได้วางไว้ซึ่งการกำกับดูแลโดยสโมสรนักศึกษาและกองกิจกรรมของมหาวิทยาลัยประเมินว่าสโมสรนักศึกษาไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง มีพัฒนาการ แม้นเราจะอยากเสนอให้มีอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็ได้แค่เสนอ แต่ไม่เคยมีการไปขยับพัฒนา

ขณะที่ อัสรี นักศึกษาอีกคนที่โดดเด่นกิจกรรมการเมืองในรั้วมหาวิทยาลัย ชี้ว่าที่ผ่านมา นักกิจกรรมนักศึกษา มอ.ปัตตานีค่อนข้างจะโดดเด่นกิจกรรมทางการเมืองและสังคม แต่แค่เรื่องการเมืองในมหาวิทยยาลัยก็ล้าหลังไปแล้ว ไปทันเหมือนเพื่อนนักกิจกรรมในมหาลัยอื่นๆ แม้นเราจะบอกว่ามหาวิทยาลัยจะกดดันนักศึกษา แต่แท้ที่จริง เรากดดันตัวเราเองหรือไม่ เราตีกรอบตัวเองไปหรือไม่ ขนาดเพียงแค่ชวนนักกิจกรรมมาทำเรื่องการเมือง สังคมของมหาวิทยาลัย ก็กลัวที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่แตกต่าง แม้นมหาวิทยาลัยจะไม่โอเคกับกิจกรรมแบบเรา แต่เราต้องถามตัวเองว่า เพราะเราอ่อนแอเองไปหรือไม่ เพราะหลายกิจกรรมที่ออกมาก็สามารถทำได้แม้นต้องต่อรองเยอะหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย

นักกิจกรรมผู้หญิง เด๊ะฟา สะท้อนว่าปัญหาการทำกิจกรรม เป็นปัญหาทั่วๆไป เห็นด้วยว่ากิจกรรมนอกกการกำกับของมหาวิทยาลัย แม้นอาจจะคิดว่ากองกิจไม่สามารถควบคุมอะไรได้มาก อาจจะควบคุมด้วยงบประมาณ แต่ทำไมจึงมีคนทำกิจกรรมสังคม การเมืองน้อย หรืออาจต้องยอมรับว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยเองก็ไม่ได้หนุนนักศึกษามากนักเหมือนคณาจารย์สมัยเก่าก่อน ทำให้นักศึกษา มอ ปัตตานี ที่เคยโดดเด่นในการทำกิจกรรมสาธารณะ แต่ก็ค่อยๆหายไป

มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้นักศึกษากลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้สะท้อนแลกเปลี่ยนมองเห็นความเปลี่ยนไปของนักกิจกรรมที่มีบรรยากาศห่างไกลจากอดีต ซึ่งเมื่อวงสนทนาของค่ำคืนมืดมิดที่ดาวหลายดวงยังคงแจ่มจรัสแต่ยังมีดาวอีกหลายดวงที่ถูกบดบังด้วยก้อนเมฆ พวกเขายังคงนั่งวิเคราะห์กันต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าสาเหตุที่บรรยากาศนักกิจกรรมเปลี่ยนไปเป็นเพราะ นักกิจกรรมขาดตัวเชื่อมแต่ละองค์กร ขนาดการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจสอบการทำงานขององค์กรนักศึกษา ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ผ่านมายังทำไม่ได้ จะนับประสาอะไรกับกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง ทางสังคมของสังคมไทย

พวกเขาเห็นว่า แม้นจะมีบางกลุ่ม บางคน จะมีการขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคม แต่ก็ไม่เห็นการทำเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเราขาดความรู้เกี่ยวกับขบวนการนักศึกษา นักกิจกรรมรุ่นใหม่ไม่ค่อยคุยถอดบทเรียนร่วมกัน จัดการศึกษาร่วมกัน ทำให้เกิดการคาดการณ์ไปว่า กลุ่มกิจกรรมนักศึกษาเชื่อมกันไม่ได้ มองหลักการทำงานร่วมกันไม่ได้

วงสนทนาคุยกันอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีกลุ่มกิจกรรมอิสระทำกิจกรรมเพื่อตั้งคำถามต่อเพื่อนนักศึกษา ต่อกิจกรรมกระแสของมหาวิทยาลัย เคยตื่นตัวโดยนักศึกษาปี 1 แต่ระยะหลังๆก็หายไป หรืออาจเป็นเพราะได้รับการอธิบาย ถูกข่มโดยกระแสในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่องจนทำให้คำถามต่างๆค่อยๆหายไป

“นักศึกษาเหล่านั้นเคยทำกิจกรรมตั้งคำถามกับกิจกรรมนักศึกษา ทั้งนี้สิ่งที่เขาเจอคือ การเรียนรู้ความคิดเห็นที่แตกต่าง เรียนรู้กับการคิดนอกกรอบ นอกกระแส แต่ก็ไม่มีพลังพอที่จะสร้างคำถามต่อ พวกเขายอมจำนนโดยเหตุผลของกระแสในรั้วมหาวิทยาลัย”

ความเชื่อเรื่อง กิจกรรม ซึ่งหมายถึงกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมนั้น มีวลีติดปากกันว่า กิจกรรมไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน มีผลต่อนักศึกรุ่นใหม่ๆ ขณะเดียวกันรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ถ่ายทอดความคิดต่อกับน้องๆเรื่องคุณค่าใหม่ในการทำกิจกรรมแบบใหม่ เพื่อสร้างกระแส สร้างประเด็นให้เกิดขึ้นในรั้วมหาวทิยาลัย

“ทำไมน้องรุ่นต่อๆมาถึงอยากจะทำกิจกรรมในกระแส อาจเป็นเพราะพี่ๆ ไม่ได้สร้างคุณค่ากิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมทางการเมืองมหาวิทยาลัย เป็นไปได้หรือไม่ที่เราสามารถหาจุดร่วมกันระหว่างนักศึกษา สร้างประเด็นการทำกิจกรรมแบบใหม่ มีพื้นที่กลางมากมายของกลุ่มกิจกรรม เราอาจมองข้ามองค์การนักศึกษาไปเลย แต่แท้ที่จริงเรามีองค์การนักศึกษาเป็นพื้นที่กลาง แต่เนื่องจากองค์การในฐานะพื้นที่กลางไม่เห็นคุณค่าการทำกิจกรรมสังคม กิจกรรมการเมืองในมหาวิทยาลัย ดังนั้นเราอาจจะต้องสร้างพื้นที่กลางด้วยตัวเราเอง พื้นที่กลางของกลุ่มองค์กรที่เห็นคุณค่ากิจกรรมแบบใหม่ และเรามาคิดการเคลื่อนไหวหลายๆ รูปแบบ เราเคลื่อนไหวโดยโลกโซเชียล แต่ในโลกความจริงเราแทบไม่ได้ทำอะไรกันเลย การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเพียงแค่เสรีในการบ่น เราต้องคิดวิธีการใหม่ หรือเอาวิธีการเก่าๆ มาทำร่วมๆกัน”

อย่างไรก็ตาม วงสนทนา พบว่า ชั่วโมงกิจกรรมจิตสาธารณะ เป็นปัญหาที่ทำให้นักศึกษาไม่คิดอยากทำกิจกรรมนอกเหนือกรอบของมหาวิทยาลัย สถานการณ์ปัจจุบันก็เลยมีแต่กิจกรรมในกระแส ทำให้เราเจ็บใจมาก ที่นักศึกษาไม่ทำกิจกรรมอะไรที่ตอบโจทย์ความเป็นนักศึกษามากกว่านี้

“เราทำกิจกรรมแบบพวกเราก็คือพวกเรา พวกท่านก็คือพวกท่าน แล้วบานปลายจนกลายเป็นเรื่องความแตกแยกของกลุ่มนักกิจกรรมด้วยกันเองทำให้ขณะนี้เพื่อนนักศึกษาภูมิภาคต่างๆที่ตื่นตัวเรื่องการเมืองหลายกลุ่ม แต่ปัญหาคือจะต่อประสานกับเพื่อนนักศึกษาปาตานีลำบาก ไม่เห็นช่องทางการต่อประสาน เพราะเราเองยังไม่คิดจะต่อประสานกันเองเลย”

มีบางคนสะท้อนว่า ก็เคยมีการต่อประสานระดับบุคคล แต่ทำไมระดับองค์กรปัจเจกไม่ยอมต่อประสานกันเองไปก่อนโดยไม่ต้องรอองค์กรนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเชื่อมภายในกันให้เสร็จ แล้วค่อยไปต่อกับเพื่อนที่อื่นๆ และเอาเข้าจริงๆแล้ว เราไม่รู้มาก่อนว่าบางครั้งเพื่อนทีอื่นๆ รู้เรื่องบ้านเรามากกว่านักศึกษาตามกระแสในพื้นที่ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอายมาก ดังนั้นเราไม่จำเป็นคาดหวังต่อการเป็นขบวนนักศึกษาเหมือนเดือนตุลาฯ แต่เราต้องเป็นนักศึกษาที่เคลื่อนไหวที่สอดรับกับยุคสมัยใหม่

ตอนท้ายของวงสนทนา เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง ที่เป็นข้อเสนอ พวกเขาสะท้อนกันว่า เราต้องสร้างให้มีโอกาสที่เพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ จะเริ่มขยับเป็นแกนนอนร่วมกัน เพื่อตระหนักเรื่องสังคม เรื่องการเมือง เราอาจจะเริ่มจากร่วมหนุนเสริมประเด็นของกันและกัน หรือหาประเด็นที่กระทบต่อนักศึกษาส่วนใหญ่ ที่มีความสนใจจากนักศึกษาส่วนใหญ่ เราต้องค้นหาประเด็นเช่นนี้ร่วมกัน หรืออาจเริ่มต้นด้วยประเด็นที่ใกล้ตัวเพื่อนๆนักศึกษาคนอื่นๆ แล้วขยายเป็นค่านิยมร่วมกัน แล้วทำกันอย่างต่อเนื่อง มองเห็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งด้วยแนวทางเช่นนี้ จะทำให้คุณค่าของกิจกรรมทางสังคม กิจกรรมการเมืองมหาลัย ก็จะเกิดขึ้น

ดวงดาวแห่งศรัทธาอาจมีมากนัก และอาจเลือนลับไปบ้างในบางครั้งบางครา แต่ค่ำคืนนี้เริ่มมีแสงระยิบระยับที่ทะลุความมืดมิดของกระแส และนี่คือเรื่องราวที่สะท้อนบรรยากาศกิจกรรมกรรมของปัญญาชน ที่กำลังประกายแสงขยับขยายให้เต็มท้องฟ้า ได้สักวันหนึ่ง