เกาะติด Café ชุมชนสะเอะ อ.กรงปินัง: ไฟใต้-อาเซียน/วิกฤต-โอกาส กับอนาคตการกศึกษาชายแดนใต้
ใครจะไปคาดคิดว่า เช้าของวันที่ 31 สิงหาคม ปี 55 ซึ่งตรงกับกำหนดแผนงาน Patani Café ครั้งใหม่ที่ว่าด้วยเรื่อง ไฟใต้-อาเซียน/วิกฤต-โอกาส กับอนาคตการกศึกษาชายแดนใต้ ณ โรงเรียนบ้านสะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา จำเป็นต้องเลื่อนไปโดยฉุกละหุก ด้วยเหตุผลเดียวคือ ความผิดปกติในพื้นที่ “ปูพรม ธงมาเลย์” ครอบคลุม 3 จชต. แต่หลังจากนั้นถัดมาอีก 1 สัปดาห์ Patani Café ตามที่วางPlan กันไว้ ก็เกิดขึ้นจนได้ และแน่นอนช่วงระยะเวลาที่ห่างเพียงสัปดาห์เดียวย่อมทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นของชาวบ้านและทีมงานปาตานี ฟอรั่มไม่น้อย ซึ่งเป็นผลทำให้ชาวบ้านเองเข้ามาร่วมเสวนาครั้งนี้กันอย่างคับคั่ง
นูรุดดีน โต๊ะตาหยง หนึ่งในทีมงานปาตานี ฟอรั่ม เกริ่นเข้าสู่การเสวนาว่า เรามีความตั้งใจ และมุ่งมั่นทุกๆ ครั้งในการจัดเวทีแลกเปลี่ยนซึ่งครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งความตั้งใจอีกหนึ่งเวที ในการขยายพื้นที่ให้ชาวบ้านพื้นที่เป้าหมายได้ทำความรู้จักกับ ปาตานี ฟอรั่ม มากขึ้น รวมถึงการจัดเวทีในการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่สังคมทั้งประเทศให้ความสนใจไม่น้อยซึ่งเป็นประเด็นที่อยู่ในกระแส คือ ไฟใต้-อาเซียน/วิกฤต-โอกาส กับอนาคตการกศึกษาชายแดนใต้ โดยมีวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนอย่าง นายอิสมาแอ สาและ จากมูลนิธิเพื่อการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และนักวิชาการด้านการศึกษาคนรุ่นใหม่ คุณธีรวัช จาปาง เข้ามาสร้างสีสัน และนำเสนอประสบการณ์การทำงาน มุมมองที่แทบจะไม่เคยมีใครพูดถึงมากนัก
นายอิสมาแอ สาและ ให้มุมมองว่า ถ้าพูดถึงเรื่องของยุทธศาสตร์หรือเรื่องของอาเซี่ยน ถือได้ว่าคนที่อยู่ที่นี่ค่อนข้างที่จะตื่นตัวและให้ความสนใจมาก เมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งรัฐควรกำหนดให้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานภูมิภาคในการประสานงานเพราะใช้ภาษาเดียวกัน ข้อดีของอาเซี่ยนเมื่อเข้ามาในพื้นที่ 3 จังหวัด ด้านเศรษฐกิจคน3จังหวัดจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นในการเป็นตัวกลางการแปลภาษาให้กับสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงงาน ขณะที่ข้อเสียคือเราอาจสูญเสียความเป็นอัตลักษณ์ก็เป็นได้
นายอิสมาแอ สาและ บอกต่อว่า Professor ที่อยู่ UAL มาเลเซียซึ่งเป็นคนปัตตานี ตอนนี้ไม่สามารถกลับมาพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดของตนเองได้เนื่องจากปัญหาความมั่นคง และอีกหลายๆ คน ซึ่งถ้าเรามองถึงการพัฒนา กับ ความมั่นคงแล้ว สองคำนี้ไม่สามารถไปด้วยกันได้เลย
“ตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา จนถึงตอนนี้ ความรุนแรงทำให้มีการเสียชีวิตจากสถานการณ์ ประมาณ 5,000 คน ผู้ที่สูญหายอีกประมาณ 40 คน ผู้ที่ไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้อีกหลายคนและส่งผลให้มีเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นเป็น 8,000 คน แล้วเด็กเหล่านี้จะอยู่กันยังไง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้จากการทำงานทราบว่าเด็กเหล่านี้ถูกทอดทิ้งประมาณ 100,000 คนหรือมากกว่านั้น เนื่องจากสาเหตุ ที่พ่อถูกระเบิดจากเหตุการณ์ความไม่สงบ, พ่อถูกอุ้ม, พ่ออยู่ในคุก ทำให้เด็กเหล่านี้ไม่ได้รับการอบรมการเลี้ยงดู หรือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น แน่นอนว่าสังคมก็จะเป็นสังคมที่ไม่มีคุณภาพ”
“ขณะเดียวกันกลับมาพูดถึงเรื่องกระแสของอาเซียนที่เกิดขึ้นในบ้านเรานั้นสังเกตเห็นว่าตามโรงเรียนต่างๆ จะมีการปักธงชาติที่เป็นประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ เกือบทุกโรง แต่ถามว่าเราเข้าใจเนื้อแท้ข้างในบ้างหรือไม่ว่า อาเซียนคืออะไร เข้าใจแค่ไหนและเรามีการเตรียมตัวอย่างไรมัน หรือว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตา เราในฐานะที่อยู่ตรงกลางล้อมไปด้วยประเทศมลายู ทำให้ได้รู้ถึงวัฒนธรรมของชาติต่างๆเท่านั้น”
นายอิสมาแอล ชี้ให้เห็นว่า ข้อได้เปรียบซึ่งถือเป็นจุดแข็งของคน 3 จังหวัด นั่นก็คือ การได้พูดหลายภาษา เช่น ภาษามลายู ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และยิ่งกว่านั้นก็คือภาษาอาหรับ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ปกครองจะไม่สนับสนุนภาษามลายู โดยดูจากที่ลูกๆ พูดแต่ภาษาไทยในบ้าน จนถือว่ามันคือความปกติไปเสียแล้ว ใ
“ขณะเดียวกันคนที่อยู่แถบเอเชียใต้ ห้าร้อยล้านกว่าคนพูดภาษามลายู เหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่ง ในเรื่องของสถานที่ศึกษาของลูกหลานก็เช่นเดียวกัน ถ้าเทียบกับคนไทยพุทธ หรือ คนจีน จะให้การสนับสนุนให้ลูกๆ ไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศ มาเลเซีย,อินโดนีเซีย,สิงค์โปร์ ,บรูไน เป็นต้น แต่คนบ้านเรา(ต.กรงปินัง,ต.บันนังสตา)จะส่งลูกไปเรียนกรุงเทพฯ บ้าง เชียงใหม่บ้าง วิทยากรได้ส่งเสียงเรียกร้องต่อผู้ปกครองว่าถ้าหากท่านเหล่านี้อยู่กันแบบปิดหูปิดตา ไม่สนใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วท่านก็จะไม่ทันกับกระแสเศรษฐกิจสังคมภายนอก ยกตัวอย่างถึงชีวิตของคนมุสลิมโรฮิงยาประเทศพม่า จากข่าวที่เกิดขึ้นโดยได้ตั้งข้อสังเกตุว่าข่าวที่เกิดขึ้นในต่างประเทศนั้น หากเราไม่เก่งหลายๆภาษาแล้วเราไม่สามารถที่จะอ่าน ฟังและบอกต่อไปยังเพื่อนบ้านเราได้ เพราะเราไม่ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการศึกษา และได้ให้ชาวบ้านผู้เข้าร่วมเกิดความรู้สึกเป็นห่วงต่อชีวิตที่ประสบถึงความลำบากของพี่น้องเรา และได้เชิญชวนให้พี่น้องที่อยู่ที่นี้เกิดความรู้สึกที่อยากจะช่วยเหลือ”
นายอิสมาแอล ยังกล่าวต่อว่า การได้รับความรู้ทางด้านการศึกษาของเด็กในพื้นที่นี้ ไม่สามารถที่จะเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันที่อยู่เขตภาคอื่นๆ เนื่องจากว่าผู้ที่เป็นแม่พิมพ์ที่มีความรู้เฉพาะสาขาวิชาไม่กล้าที่จะลงมายังพื้นที่บ้านเรา แต่ที่เป็นการซ้ำเติมให้กับเด็กทำให้เด็กขาดทุนคือการปิดเรียนก็เกิดขึ้นบ่อยๆ และการจำกัดเวลาให้เหลือน้อยกว่าเดิม จากแต่ก่อน 8 โมง เด็กจะถึงที่โรงเรียน 4 โมงก็จะกลับบ้าน แต่ที่สังเกตหลายโรงแล้ว 10 โมงเช้าครูบางคนเพิ่งจะถึงที่โรงเรียน 3 โมงเย็น ก็จะต้องออกจากโรงเรียนแล้ว เหตุผลความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
“ขณะนี้เด็กบ้านเราที่ไปเรียนต่างประเทศและประสบความสำเร็จทั้งหมด 6 คน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าเด็กบ้านเราทำไม่ได้แต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม เช่น โรงเรียน ครู ผู้ปกครอง และได้เล่าถึงการเลี้ยงดูลูกของคนประเทศญี่ปุ่น กับ ประเทศอังกฤษ ว่าพ่อ – แม่จะให้ลูกได้เรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนคลอดออกมารัฐจะให้แม่เลี้ยงลูกด้วยตนเองนาน 3 ปี แต่คนบ้านเราทุกอย่างจะส่งให้โรงเรียนเป็นคนดูแลรับผิดชอบทั้งหมด ในเรื่องของผู้นำหรือฝ่ายปกครองที่เห็นลูกบ้านเป็นเด็กกำพร้า เร่ร่อน เก็บขยะขาย ควรที่จะให้ความสำคัญกับเด็กเหล่านี้ในการส่งต่อให้ไปเรียน”
“ถ้ามองประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซียนั้น เค้าไปไกลว่าเราถึง 20 ปี หมายความว่าเราตามหลังมาเลเซียอยู่ ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวของบ้านเราก็คือการไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม โรงเรียนเองก็ไม่คิดที่จะมีการเปลี่ยนแปลง แล้วเราจะให้ลูกหลานเราก้าวเข้าสู่อาเซี่ยนได้อย่างไร จนนำไปสู่ที่กล่าวมาตอนต้นว่าเราจะรู้เท่าทันอาเซี่ยนหรือเราจะตกเป็นเบี้ยล่างของอาเซี่ยนเพราะความไม่รู้ จนนำไปสู่การเสียทรัพยากรในพื้นที่ เสียบุคลากรในพื้นที่ เพราะความไม่รู้เท่าทันอาเซี่ยน ยกตัวอย่างทรัพยากรที่เป็นพลังงานลมที่ดีที่สุด อยู่ระหว่าง ต.กาบัง กับ ต.บันนังสตา ถ้าหากทำที่ตรงนั้นได้ สามารถที่จะกระจายไฟฟ้าไปอย่าง 14 จังหวัดได้สบายๆ และพื้นที่ 3 จังหวัดเร่าจะมีทรัพยากรที่เป็นแร่ที่สามารถผ่านกระบวนการเป็นน้ำมันได้เทียบเท่ากับโลกอาหรับที่มีอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือถ้าเด็กบ้านเราไม่มีจิตสำนึกที่จะดูแลรักษา ท้ายสุดมันก็จะหมดไปเหมือนกัน” วิทยากรกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ คุณธีรวัช จาปาง นักวิชาการด้านการศึกษา ได้เล่าประสบการณ์เมื่อครั้งศึกษาอยู่ในประเทศมาเลเซียว่า มีความแตกต่างของเด็กบ้านเรามาก
“ประเทศมาเลเซียที่ให้ความสำคัญอย่างเห็นได้ชัดนั่นก็คือความกระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบต่อตนเอง กล่าวคือ เด็กที่ประเทศมาเลเซียนั้นจะตื่นตี 5 ละหมาดซุบฺฮี เสร็จก็จะเตรียมตัวไปเรียนเลย แต่เด็กบ้านเรา 7 โมงเช้า ก็เพิ่งตื่น โรงเรียนในประเทศมาเลเซีย จะเลิกบ่ายโมง ชั่วโมงเรียนเค้าจะสั้นแต่จะเป็นการเรียนที่ลึกซึ้ง และหลังจากนั้นก็จะเรียนในสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่เด็กบ้านเราเรียนเสร็จ 4 โมงเย็น และไปเล่นต่อ กลับอีกที ถึงเวลาละหมาดมัฆริบ และไปเรียน กีรออาตี วันไหนที่ขยันก็ไป วันไหนที่รู้สึกขี้เกียจก็หยุด และเด็กบ้านเราจะเป็นคนอ่านหนังสือน้อย ดังนั้นผู้ปกครองเองต้องดูแลและให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกๆ เพราะอัลกุร-อ่าน เองก็บอกไว้”
คุณธีรวัช ยังกล่าวอีกว่า จุดแข็งที่สำคัญของเด็กนักเรียนมาเลย์ คือเรื่องภาษาที่ใช้ คือ ภาษามลายู ซึ่งเราก็ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้วในการเรียนอย่างตำราก็จะเป็นภาษาอังกฤษ และจะมีเพื่อนที่เป็นคนจีนด้วยทำให้ได้เรียนรู้ภาษาจากเพื่อนคนจีน ทำให้ได้ 3 ภาษา ขณะที่คนบ้านเราก็จะได้หลายภาษาเหมือนกันแต่อย่างที่บอกว่าคนบ้านเราจะต้องเรียนรู้การใช้ภาษาให้สอดคล้องกับพื้นที่และวัฒนธรรม ตัวอย่างคณะกรรมการอิสลามที่ไปเจอ อธิการเวลาแนะนำตัวตัวคนบ้านเรามักจะติดตำแหน่งที่เป็นภาษาไทยและจะพูดทับศัพท์ เช่น คำว่า กรรมการ แต่คนประเทศมาเลเค้าไม่เข้าใจ ตรงนี้ต้องคำนึงให้มากขึ้น
คุณธีรวัชคิดว่าในมิติของชาวบ้าน ซึ่งอยู่กับการทำงาน ทำกลุ่มอาชีพอยู่แล้ว ตรงนี้ก็เป็นจุดแข็ง แต่เราต้องพยายามรวมกลุ่มเพื่อสร้างกลุ่มอาชีพที่มีศักยภาพ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านสามารถยกระดับราคาสินค้าให้เทียบเท่ากับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย
ทางด้านพี่น้องชาวบ้านชุมชนสะเอะ ต่างก็มีประเด็นแลกเปลี่ยนและบอกเล่าสู่กันฟัง เยอะแยะมากมาย แต่ครั้นจะนำมาเสนอให้หมดก็คงจะต้องใช้เวลาอ่านครึ่งค่อนวัน ดังนั้นจึงพอนำมาสรุปเป็นข้อๆ เข้าใจง่ายดังนี้
- เวลาเรียนของเด็ก 3 จังหวัดมีสัดส่วนที่แตกต่างกันมาก คือ เรียนไทย 5 วัน และเรียนศาสนา(ตาดีกา)แค่ 2 วัน
- สำหรับเด็กที่มีความตั้งใจเรียน ศาสนา (ตาดีกา ) สามารถนำความรู้เรื่องของภาษามลายูไปประกอบอาชีพค้าขายในประเทศมาเลเซียได้จนได้รับความสำเร็จ
- มีช่องทางใดบ้างที่จะให้เด็กได้รับโอกาสเรียนต่อต่างประเทศ
- สถานที่เรียนศาสนาหรือปอเนาะ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ความต้องการเรียนของเด็กแต่เป็นความต้องการให้เรียนของผู้ปกครองมากกว่า
- ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองเข้าใจความหมายของการศึกษามากน้อยแค่ไหน การศึกษาของ คน 3 จังหวัดมีความอ่อนแอ
- ให้ชาวบ้านพยายามสำรวจทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ตัวเองและปกป้องดูแลเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของนายทุน
- คนที่เป็นครูควรคำนึงถึงคุณภาพของนักเรียนมากกว่าคำนึงถึงแต่เงินเดือนแต่เพียงอย่างเดียว
- เราต้องเปลี่ยนแปลงคนในครอบครัวให้มีการศึกษาที่ดี อย่าได้คำนึงถึงการตกงาน /ว่างงาน อย่างน้อยก็ได้ยกระดับความคิด ในทางกลับกันถ้าเรียนสูงระดับปริญญาโท หรือเอก แต่ไม่สามารถที่จะเปิดรับความคิดของคนอื่นได้ หรือยอมรับการเปลี่ยนแปลงก็ถือว่าคนนั้นล้มเหลวเช่นกัน
- รัฐต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนการสอนในพื้นที่ 3 จังหวัด
ทั้งหมดคือ เสียงที่ถอดออกมาจาก Patani Café รอบนี้ แต่ที่น่าสนใจในตอนท้าย ชาวบ้านพูดออกมาทำนองว่า “ขณะนี้ชาวบ้านก็ปรับตัว ไม่รู้จะปรับอย่างไรอีกแล้ว แต่หากระบบการศึกษาไทยไม่ปรับตัวบ้าง ก็คงเป็นเรื่องยากที่เด็กๆบ้านเราจะเท่าทันกับกระแสอาเซียนที่เกิดขึ้น”
เป็นเสียงจากชุมชนที่ชวนให้ขบคิด และซ่อนความหวังที่ยังรอคำตอบจากผู้หลัก ผู้ใหญ่ในสังคมบ้านเรา ....