ถอดรหัส-ชำแหละสงครามคลิป : ผู้ร้าย-พระเอก ตอน 2
ก่อนหน้านี้บทวิเคราะห์ชิ้นแรกว่าด้วย ถอดรหัส-ชำแหละ : ผู้ร้าย-พระเอก "สงครามคลิปป่วนปาตานี" ตอนที่ 1 พยายามชำแหละปัจจัย หรือประเด็นที่สาธารณะควรตั้งข้อสังเกตุและชวนวิเคราะห์ต่อในตอนที่ 2 โดยเนื้อหามีความต่อเนื่องดังนี้
ปัจจัยที่6 บุคคลในคลิปดังกล่าวอ้างตนว่าเป็นลูกหลานของท่านศาสดานบีมูฮำหมัด(ซ.ล.) อย่างคลั่งไคล้และสุดโต่งซึ่งในบริบทของสังคมอิสลามทั่วโลกหรือแม้กระทั่งในบริบทชายแดนใต้ของประเทศไทยนั้น มีเพียงนิกาย “ชีอะห์” เท่านั้นที่เอาประเด็นการเป็นลูกหลานนบีมูฮำหมัดเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวกิจกรรมต่างๆโดยเฉพาะกิจกรรมที่ว่าด้วยการทำสงครามศาสนา
ข้อสังเกตที่น่าสนใจต่อปัจจัยข้อนี้คือ “ถ้าเป็นชีอะห์จริง แล้วชาวชีอะห์ในพื้นที่ชายแดนใต้มีตัวตนจริงหรือไม่ ถ้ามีตัวตนจริงแล้วมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้"
ปัจจัยที่7 บุคคลในคลิปดังกล่าวอ้างตนว่าชื่อ "กูซัยค์" ซึ่งสองคำนี้บังเอิญตรงกับคำนำหน้าชื่อของสองตระกูลใหญ่ที่มีบารมีในสังคมมลายูมุสลิมปาตานี/ชายแดนใต้ นั่นคือคำว่า "กู" คือคำนำหน้าชื่อของบุคคลที่มีเชื้อสายเจ้าเมืองปาตานีในอดีตเช่น "ตึงกูอับดุลกอเดร" คำว่า "ซัยค์" คือคำนำหน้าชื่อบุคคลที่มีเชื้อสายท่านศาสดานบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)
ข้อสังเกตที่น่าสนใจต่อปัจจัยข้อนี้คือทำไมบุคคลในคลิปดังกล่าวจึงเรียกตัวเองว่าชื่อ"กูซัยค์" เพราะบังเอิญแบบบังเอิญจริงๆหรือตั้งใจให้บังเอิญ ถ้าเป็นข้อแรกก็ไม่ต้องวิเคราะห์มาก แต่ถ้าเป็นข้อหลังจะไม่วิเคราะห์เลยก็ดูไร้เดียงสาเกินไป ที่น่าวิเคราะห์ก็คือตัวบุคคลในคลิปนั้นเป็น"กูซัยค์"จริงหรือตั้งใจจะให้คนเข้าใจว่าคลิปดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสองตระกูลใหญ่ซึ่งในปัจจุบันนั้นได้มีบารมีค่อนข้างมากในพื้นที่ชายแดนใต้
ปัจจัยที่8 บุคคลในคลิปดังกล่าวเรียกเจ้าหน้าที่รัฐและชาวไทยพุทธในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า "กาเฟร"ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเนื้อหาของแถลงการณ์ฮาซัน ตอยิบ เมื่อขณะที่เขาเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยของBRNในช่วงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ฮาซัน ตอยิบ ไม่ได้เรียกเจ้าหน้าที่รัฐหรือภาครัฐว่ากาเฟร แต่เขาเรียกว่า "นักล่าอาณานิคมสยาม" ซึ่งมีนัยยะว่ารากเหง้าของปัญหาไม่ใช่เรื่องศาสนาแต่เป็นเรื่องของ "สิทธิความเป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนของชนชาติปาตานี"
ข้อสังเกตที่น่าสนใจต่อปัจจัยข้อนี้ก็คือบุคคลในคลิปดังกล่าวต้องการปรับเปลี่ยนสภาพความขัดแย้งของปัญหาใจกลางจากเรื่องอุดมการณ์ทางชนชาติกลายเป็นอุดมการณ์ทางศาสนาหรือไม่ และ “ถ้ากลายเป็นปัญหาทางศาสนาจริง ถามว่าใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากันระหว่างรัฐไทยกับBRN”
เมื่อเชื่อมร้อยปัจจัยทั้ง8ข้างต้นกับการใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสารของคลิปดังกล่าวซึ่งมีสถานะของการเป็นแรงขับที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์หรืออีกนัยหนึ่งทำให้เข้าใจในเจตนารมณ์ของปรากฏการณ์ "คลิปอุกอาจแอบอ้างเป็นลูกหลานนบี" ประกาศทำสงครามศาสนากับกาเฟรไทยพุทธ ว่ามีกลิ่นอายของความพยายามจงใจเจตนาให้เกิดสภาพบรรยากาศการปลุกเร้าของสถานการณ์สังคมมุสลิมกับสังคมพุทธทั้งในพื้นที่ชายแดนใต้และทั่วประเทศ “มีความเสมือนจริงแบบน่าขนหัวลุกของความรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกกดดันจากฝ่ายขบวนการต่อต้านรัฐซึ่งคลิปดังกล่าวเจตนาให้สังคมสาธารณะเหมารวมถึงขบวนการ BRN ,PULOและBIPP ด้วย”
ดังนั้นอาจทำให้สาธารณะเข้าใจ หรือ สันนิษฐานต่อได้ว่า BRN ,PULOและBIPP จะพยายามทำให้เกิดสงครามประชาชนที่มีเป้าหมายทางการเมืองเป็นเรื่องของอุดมการณ์ศาสนานิยมแบบสุดโต่งสุดขั้วเหมือน “ISIS” เพื่อหวังให้สังคมชาวไทยพุทธกับสังคมชาวมุสลิมซึ่ง “ขาดวุฒิภาวะ” ในการพิจารณาการสื่อสารของคลิปดังกล่าวทั่วประเทศไทย “เกิดอารมณ์ความรู้สึกในมุมกลับอย่างรุนแรงและเคียดแค้นใจแบบหนักหน่วงจนอัดอั้นไว้ไม่อยู่ แล้วระเบิดออกมาในรูปแบบปฏิบัติการมวลชนร่วมประสานระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมตอบโต้สั่งสอนขบวนการปลดปล่อยปาตานีเอกราชทุกกลุ่ม ตามความเข้าใจของมวลชนที่ถูกปลุกปั่นมาอย่างไร้เดียงสาแบบเข้มข้นและอัดแน่นว่าขบวนการปลดปล่อยปาตานีก็คือขบวนการก่อการร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนISISนั่นเอง”
ท้ายที่สุด สิ่งที่เป็นเป้าหมายซ่อนเร้นลึกๆแต่คาดหวังให้เกิดขึ้นจริงๆและซ่อนรูปแบบสลับซับซ้อนของ “คลิปบทผู้ร้าย” ในชื่อ "กูซัยค์" กับ “คลิปบทพระเอก” ในชื่อ "สลันจุงเบย" ก็คือเพื่อ “ดิสเครดิต” สถานะทางการเมืองของขบวนการปลดปล่อยปาตานีเป็นเอกราชท่ามกลาง “ระดับการยอมรับ” ในปัญหาจากเหง้าที่แท้จริงของ “สังคมที่มีวุฒิภาวะทางการเมืองและมีความคิดก้าวหน้า” ทั้งในและระหว่างประเทศ โดยผ่านการปรากฏตัวของBRNพร้อมกับข้อเสนอหรือเงื่อนไข5ข้อที่ได้ปรับทัศคติความเข้าใจของสังคมสาธารณะต่อเป้าหมายทางการเมืองค่อนข้างมากในระดับหนึ่งนั้น
ปรับเปลี่ยนสภาพกลายเป็นสถานะของการไม่ได้รับการสนับสนุนหนุนเสริมจากมวลชนในพื้นที่และนอกพื้นที่ อีกทั้งจากประชาคมระหว่างประเทศต่อบทบาทการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานีของขบวนการปลดปล่อย ได้มีสถานะเป็น “คู่เจรจาที่มีคนกลางเป็นผู้ไกล่เกลี่ย” ไม่ใช่แค่เป็นผู้อำนวยความสะดวกอย่างเดียว อีกทั้งมีแนวโน้มว่าเป้าหมายทางการเมืองของขบวนการปลดปล่อยปาตานีจะมีโอกาส “ยึดโยงกับเจตจำนงของของชาวปาตานีที่หมายถึงชนชาติมลายู ชนชาติสยามและชนชาติจีน” โดยผ่าน “บรรยากาศการตื่นตัวทางการเมือง” ของชาวปาตานีเองอย่างมีพลวัตของกระบวนการสร้างสันติภาพและกระบวนการสร้างสันติสุขโดยตัวของมันเองหรือไม่
ถ้าเป็นไปตามบทวิเคราะห์ข้างต้นจริง น่าสนใจว่าปฏิกิริยาของสังคมชาวไทยพุทธและสังคมชาวมุสลิมทั้งในและนอกพื้นที่ชายแดนใต้ ต่อคลิป “ปลุกเร้าอารมณ์เพื่อทำสงครามประชาชนกับประชาชนกันเองแบบไร้เดียงสาและหูเบา จะมีท่าทีไหลตามหรือเฉยๆหรือต่อต้านกลับไป และไม่ใช่เฉพาะชาวมุสลิมกับชาวพุทธเท่านั้น ชาวมุสลิมกับชาวมุสลิมก็ย่อมเกิดปฏิกิริยาต่อกันแน่นอน โดยเฉพาะชาวมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่ระหว่างกลุ่มเป้าหมายของวงศ์ตระกูล"กูซัยค์"กับ "มัสยิดและตาดีกา" ซึ่งหมายถึงบรรดาโต๊ะอีหม่ามและอุสต๊าส จะต้องเกิดปฏิกิริยาแบบมีท่าทีอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน”
ศักราชใหม่ของสถานการณ์ความขัดแย้งที่ปาตานีหรือชายแดนใต้ที่ทุกฝ่ายทุกชนชั้นจะกระพริบตาอย่างประมาทไม่ได้ เริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ…