“เมื่อสามีโดนจับ เมื่อต้องเดินตามลำพัง” ความในจากใจ คอดีเย๊าะ ยูโซะ

                                         

 

“หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่สามีโดนจับตัวไป ทำให้เราไม่ไว้ใจ และไม่เชื่อในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่าต้องการแก้ปัญหาสามจังหวัดจริงๆ”

คือความในใจของ นางคอดีเย๊าะ  ยูโซะ คุณแม่ลูกสามวัย 33 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายร้อยครอบครัวที่ได้รับผลกระทบเมื่อหัวหน้าครอบครัวต้องมากลายเป็นผู้ต้องขังคดีความมั่นคง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางเครือข่ายสตรีชายแดนใต้เพื่อสันติภาพ ด้วยการคำนึงถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรม ได้มีโอกาสลงพื้นที่สามแยกบ้านเนียง ตำบลลิดล อำเภอลำใหม่ จังหวัดยะลา เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจากเหตุการณ์ถล่มยิงสภ.ลำใหม่ จังหวัดยะลา เมื่อปลายเดือนธันวาคม ปี 54

นางคอดีเย๊าะ ในบทบาทของผู้เป็นแม่ที่ต้องกลายมาเป็นเสาหลักสำคัญของครอบครัว ปัจจุบันอาศัยอยู่ในบ้านเช่าต่างที่ต่างถิ่นสามแยกบ้านเนียง ต.ลิดล อ.ลำใหม่ จ.ยะลา ห่างไกลจากบ้านเดิมที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้าที่สามีจะกลายเป็นผู้ต้องขังคดีความมั่นคง นางคอดีเย๊าะเล่าให้ทางเครือข่ายสตรีฯฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ว่า สามีมีอาชีพที่ไม่แน่นอน ต้องเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อยๆ เนื่องจากฐานะที่บ้านยากจน จึงต้องไปทำงานต่างถิ่นตลอด

“ก่อนหน้าที่จะถูกจับก็ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารที่ตัวเมืองจังหวัดสงขลา ตำรวจไปควบคุมตัวที่นั่นและพาไปฝากขังที่เรือนจำจังหวัดสงขลา หลังจากที่สามีโดนจับกุม ก๊ะและครอบครัวต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก เนื่องจากก๊ะมีลูกเล็กที่ต้องดูแลและรับผิดชอบถึง 3 คน คนโต อายุ 10 ขวบ คนกลาง อายุ 7 ขวบ ส่วนคนเล็ก อายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น ขณะที่ก๊ะทำอาชีพรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าซึ่งมีรายได้ต่อวันไม่แน่นอน บางวันก็ไม่มีรายได้เลย”

นางคอดีเย๊าะ เล่าอีกว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาตรวจค้นและจับกุมชายมุสลิมในหมู่บ้านไปหลายคน ทำให้ญาติๆฝั่งตนที่ทราบข่าวพากันตีตัวออกห่างเพราะกลัวจะโดนข้อหา หากมายุ่งกับครอบครัวตน ถึงขนาดที่ญาติๆต้องมาขอร้องให้ตนและลูกออกไปจากหมู่บ้าน เพราะหากตนยังอยู่ที่หมู่บ้านนั้นเกรงว่าคนในหมู่บ้านจะไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะญาติๆผู้ชาย

“พี่น้องก๊ะบอกให้ก๊ะออกไปอยู่ที่อื่น เพราะกลัวตัวเองและครอบครัวไม่ปลอดภัย แถมยังพูดว่าเลือกเอาจะลำบากคนเดียวหรือจะให้คนอื่นลำบากด้วย ซึ่งเป็นคำพูดที่เมื่อเราได้ฟังแล้วรู้สึกเสียใจมาก ที่เค้าคิดกับเราแบบนี้ ส่วนแม่เราตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไปอาศัยอยู่ที่ปอเนาะไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ ทำให้ก๊ะหมดที่พึ่งจริงๆ คิดว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน แล้วลูกๆเราอีกตั้ง 3 คน จะอยู่ยังไง ทำไมญาติพี่น้องเราแท้ๆยังรังเกียจเราได้ ไม่มีใครยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือเราเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกก็ยิ่งลำบากเข้าไปอีก เพราะภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคือค่าเช่าบ้าน ยังดีที่มีน้องสาวคอยช่วยเหลือหากเดือนไหนที่ก๊ะหมุนเงินไม่ทัน แต่ก็ช่วยไม่ได้มากเพราะน้องก็มีภาระเยอะเหมือนกัน ”

นางคอดีเย๊าะบอกเล่าเรื่องราวอันเจ็บปวดด้วยน้ำตา ทุกคนที่ได้ฟังก็รู้สึกสะเทือนใจไปตามๆกัน ที่สำคัญเรื่องดังกล่าวก๊ะยังไม่ได้บอกสามีเพราะกลัวสามีเสียใจและเสียความรู้สึกที่เป็นต้นเหตุให้ลูกเมียต้องลำบาก จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้วที่เธอและลูกต้องมาอาศัยบ้านเช่าแห่งนี้ โดยไม่เคยมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมเยียนเลย

“ผลกระทบที่ต้องเผชิญยังไม่เท่าของลูกๆที่ต้องเจอ เด็กๆถูกตราหน้าว่าเป็นครอบครัวผู้ต้องขังบ้าง พ่อเป็นโจรใต้บ้าง สารพัดคำพูดที่ได้รับ เมื่อตอนที่สามีโดนจับ ลูกๆเคยถามว่าเมื่อไหร่พ่อจะกลับมา พ่อไปไหน ตัวเองก็บอกให้ลูกๆละหมาดฮายัตกันหากต้องการให้พ่อกลับมาเร็วๆ ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นก็เห็นว่าลูกทั้งสามคนละหมาดฮายัตโดยพร้อมเพรียงกัน น้ำตาแห่งความตื้นตันก็ไหลออกมา ตัวเองขอดุอาต่อพระเจ้าให้ช่วยสามี ให้ได้รับความเป็นธรรมโดยเร็ว แต่เป็นที่ทราบกันว่ากระบวนการยุติธรรมในไทยมีความล่าช้าในการดำเนินการ”

สามีของคอดีเย๊าะถูกจับโดย 2 ข้อหา คือ ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน อั่งยี่ ซ่องโจร และข้อหาก่อการร้าย พยายามฆ่า ซึ่งข้อหาแรกได้ยื่นฟ้องไปแล้วโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ตอนนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ส่วนคดีที่ 2 กำลังดำเนินการยื่นฟ้อง ซึ่งตอนนี้มีศูนย์ทนายความมุสลิมที่เข้ามาให้การช่วยเหลือในเรื่องของคดีความอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คอดีเย๊าะระบายให้ฟังว่าที่ผ่านมาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีหน่วยงานไหนเข้ามาให้การช่วยเหลือ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นก็มีศูนย์ทนายความที่ช่วยเหลือ ซึ่งตนรู้สึกดีใจและขอบคุณมาก

“ขอบคุณศูนย์ทนายความมุสลิมมากๆที่ช่วยเหลือในเรื่องของคดี เพราะก๊ะก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เรามันก็แค่ชาวบ้านตาดำๆ โดนรังแกขึ้นมาก็ไม่รู้ต้องหันหน้าไปพึ่งใคร เพราะขนาดญาติพี่น้องก็ยังหวังพึ่งไม่ได้ อย่างวันนี้ก็เหมือนกันพอทราบข่าวว่าจะมีคนมาเยี่ยมก็แปลกใจและดีใจด้วย ก๊ะก็โทรไปบอกพี่สาวที่อยู่ในหมู่บ้าน พี่สาวยังไม่เชื่อเลยว่าจะมีคนมาเยี่ยม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากสำหรับก๊ะ”

นางคอดีเย๊าะได้ฝากถึงเจ้าหน้าที่รัฐว่า รู้สึกผิดหวังกับการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น ไม่เคยไว้ใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่อไป เพราะเห็นถึงความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา เสียใจมากที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งๆที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวไม่เคยรับรู้ แต่ต้องมาโดนกระทำจากเจ้าหน้าที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย ผู้รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ขณะที่ตัวเองจะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น”

ทางด้าน นางสาวอัญชลี  หมัดเลียด เจ้าหน้าที่โครงการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้มีโอกาสลงพื้นที่ได้กล่าวภายหลังการเยี่ยมเยียนว่า รู้สึกสะเทือนใจใน 3 ประเด็นด้วยกัน คือ

ประเด็นแรก เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่หละหลวม เพราะทราบจากก๊ะคอดีเย๊าะว่าไม่มีการสืบพยาน ไม่มีหลักฐาน มีแต่คำซัดทอดของคนที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นข้ออ้างในการจับกุม ซึ่งตนคิดว่าพยานหลักฐานดังกล่าว ไม่เพียงพอที่จะจับกุมใครซักคน เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค โดยไม่มีพยาน หลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐควรต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน หากต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะที่ทำมานอกจากจะไม่ช่วยให้ปัญหาบรรเทาลงแล้วยังทำให้ไฟที่ลุกยิ่งลามไปมากขึ้นอีก

ประเด็นที่สอง คือ ประเด็นการให้ความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องของนางคอดีเย๊าะเอง ซึ่งตนเห็นว่าคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวที่เจ็บปวดแบบนี้ควรได้รับกำลังใจจากคนใกล้ชิดนั่นก็คือญาติพี่น้อง คนในครอบครัว แต่ในกรณีนี้นอกจากจะไม่เคยได้รับกำลังใจ ความช่วยเหลือแล้ว ยังถูกผลักไสให้ห่างไกลจากญาติๆ เพราะเห็นว่าตนเป็นตัวอันตราย อยู่ใกล้แล้วจะเดือดร้อน ซึ่งเป็นคำตัดสินที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง  ควรให้คนที่เกี่ยวข้องอธิบายให้ญาติพี่น้องเข้าใจในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ความสัมพันธ์ดีกว่าเก่าขึ้นมาบ้าง

ประเด็นที่สาม คือ เรื่องลูกและสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวลูก ตอนเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ลูกๆไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนล้อ จนต้องย้ายโรงเรียนเพื่อไม่ให้เด็กต้องฝังใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้น เด็กๆถูกตัดสินไปแล้วว่าเป็นลูกโจร เป็นลูกคนมีคดีความมั่นคง ซึ่งเป็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นโดยสังคมเป็นคนยัดเยียดให้ สภาพจิตใจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

                                      

เช่นเดียวกับ นางสาวยะห์  อาลี  หนึ่งในคณะทำงานเครือข่ายสตรีชายแดนใต้เพื่อสันติภาพ กล่าวด้วยความเห็นใจว่า รู้สึกสงสารนางคอดีเย๊าะที่ต้องเผชิญปัญหาโดยลำพัง

“เธอถูกตัดญาติขาดมิตร ไร้ซึ่งที่พึ่งพิง โดนสังคมรังเกียจจากญาติพี่น้องแท้ๆรวมถึงเพื่อนบ้าน และไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ เป็นสิ่งที่สะเทือนอารมณ์และความรู้สึกอย่างมาก จากกรณีอื่นๆที่ตนเคยได้ไปสัมผัสพูดคุย เยี่ยมเยียน ครอบครัวอื่นๆยังได้รับความช่วยเหลือจากญาติและเพื่อนบ้านอยู่บ้าง ถึงไม่มากแต่ก็ไม่ได้โดนโดดเดี่ยว พี่น้องยังไปมาหาสู่กันได้ ซึ่งแตกต่างกับกรณีของนางคอดีเย๊าะมาก”

นางสาวยะห์ อาลี ยังบอกอีกว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยม ให้ความช่วยเหลือแม้นจะเป็นการช่วยเหลือไม่มากนัก แต่ก็ดีกว่าให้ครอบครัวนี้สู้ด้วยความลำพัง เนื่องจากไม่เคยมีหน่วยงานไหนมาเยี่ยมเยียนและให้ความช่วยเหลือครอบครัวนี้

“ขณะนี้ก็ได้ให้คำแนะนำในเบื้องต้นถึงการประกอบอาชีพ โดยได้แนะนำกลุ่มอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าซึ่งเป็นโรงงานตัดเย็บที่ตั้งอยู่ที่อำเภอปะนาเระ โดยนางคอดีเย๊าะสามารถรับผ้ามาตัดตามแบบที่ลูกค้าต้องการส่งกลับไปยังโรงงานได้ ซึ่งรายได้จะมั่นคงกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

เป็นแง่มุมปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นบ่อยๆในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จนกลายเป็นลิ่มตอกให้ชาวบ้านในพื้นที่หวาดระแวงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะต่อคนมลายูมุสลิมที่มักจะตกเป็นเป้าหมายของการจับกุมในแต่ละครั้งที่เกิดเหตุความรุนแรงที่ใดที่หนึ่ง จนขยายกลายเป็นความหวาดระแวงภายในชุมชน  ซึ่งปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน แม้นขณะนี้จะไม่ทราบว่าผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจะมีความผิดจริงหรือไม่ก็ตามแต่จนกว่าศาลจะตัดสิน ทั้งนี้เพื่อเป็นการคืนความสุขให้แก่ประชาชน และการสร้างเชื่อมั่น สิ่งที่รัฐไม่ว่ายุคสมัยใดๆก็ตามจะต้อง รีบเร่งในการแก้ปัญหา คือ การดำเนินคดีความด้วยกระบวนการยุติธรรมที่พิสูจน์ทราบด้วยพยาน หลักฐาน ที่หนักแน่น ชัดเจน น่าเชื่อถือ และไม่ยืดเยื้อ

ความเชื่อมั่นของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบก็จะคืนกลับมา เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นของ คอดีเย๊าะ  ยูโซะ แม่ลูกสามที่ความหวังสุดท้าย คือ ความยุติธรรมในชั้นศาล