กำเนิดและพัฒนาการของแนวคิด “เชื้อชาติมลายู” ในบริติชมลายา (2)
หมายเหตุ อ่าน กำเนิดและพัฒนาการของแนวคิด “เชื้อชาติมลายู” ในบริติชมลายา ตอนแรก คลิกที่นี้
บังซามลายู จากแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์
ลักษณะที่เป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ได้ส่งผลต่อแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ที่ได้พยายามนำเสนอ บังซา มลายู หรือชาติของชาวมลายู โดยมุนชี อับดุลลอฮ์ โดยสาระสำคัญของการนำเสนอประเด็นเรื่องของบังซามลายู ของมุนชี อับดุลลอฮ์นั่นก็คือ การรวมตัวกันของคนในการสร้างชาติ เรื่องของชาติพันธุ์มีความสำคัญที่สุด กว่าเรื่องอื่นๆ มุนชี อับดุลลอฮ์ได้นำเสนอแนวคิดบังซามลายูให้กับชาวมลายูโดยผ่านงานเขียนของเขา แต่ด้วยแนวคิดของเขาได้ขัดต่อความเชื่อบางประการของคนมลายูส่วนใหญ่ แนวคิดของเขาจึงไม่ได้รับความนิยมจากชาวมลายูทั่วไป และรวมไปถึงรูปแบบของสังคมมลายูยังคงอยู่ในระบอบเกอราจาอัน แนวคิดที่มาต่อต้านความเป็นอยู่ของชาวมลายูจึงถูกต่อต้านกลับไป
เป็นที่น่าสังเกตระหว่างแนวคิดบังซา มลายู กับการนิยามความเป็นมลายูในยุคจารีตสมัยมะละกาการเปรียบเทียบกันระหว่างสองแนวคิดนั่นก็คือ “ความเป็นมลายู” ที่ถูกนิยามขึ้นในมะละกามีความหมายของอัตลักษณ์มลายูในลักษณะที่แคบคือ การให้ความหมายมลายูเฉพาะในพื้นที่มะละกาเท่านั้น แต่ “ความเป็นมลายู” ตามความหมายของมุนชี อับดุลลอฮ์ได้มีการเหมารวมผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เคียงรวมไปถึงผู้ที่ใช้ภาษามลายู และวัฒนธรรมมลายู
การให้ความหมายใน “ความเป็นมลายู” ของมุนชี อับดุลลอฮ์ในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นผลมาจากแนวคิดเชื้อชาตินิยมของเขาเอง อันเนื่องมาจากในช่วงเวลาดังกล่าวผู้อพยพทั้งชาวจีน และชาวอินเดียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ด้วยสำนึกในความเป็นมลายูเกรงว่าผู้อพยพจะเข้ามาครอบงำทางด้านการเมืองและมีอภิสิทธิ์เหนือกลุ่มคนของตนเอง จึงได้มีการรวมคนในพื้นที่บริเวณที่อยู่ใกล้เคียง
ฮิกายัต อับดุลลอฮ์ และกระบอกเสียงเผยแพร่แนวคิด
มุนชี อับดุลลอฮ์ได้วิจารณ์ระบบเกอราจาอันในงานเขียนของเขาที่มีความโดดเด่นทั้งสองชิ้นนั่นก็คือ กีซะห์ เปอลายาลัน อับดุลลอฮ์ (Kisah Pelayalan Abdullah) และฮิกายัต อับดุลลอฮ์ (Hikayat Abdullah) ผลงานทั้งสองนี้ได้กล่าวโจมตีระบบเกอราจาอันว่า เป็นเรื่องที่ล้าสมัยและเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมมลายูไม่มีการพัฒนาและยังคงล้าหลัง จนทำให้สังคมอ่อนแอและทำให้ต้องกลายเป็นอาณานิคมของชาวตะวันตกในที่สุด
งานเขียนของมุนชี อับดุลลอฮ์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งที่ได้เกริ่นนำไว้แล้วช่วงก่อนหน้าคือ ฮิกายัต อับดุลลอฮ์ เป็นงานเขียนที่มีความท้าทายและผิดแปลกไปจากงานเขียนที่เป็นเรื่องราวในยุคจารีตทั้งเซอจาเราะห์ มลายูและ ตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ ที่มีการยกย่องสถานะของสุลต่าน แต่ถ้ามองในเนื้อหาที่มีการระบุถึงการสำนึกใน “ความเป็นมลายู” ตามทัศนะของนักวิชาการมาเลเซียศึกษาทั้งในอันดาย่าและแมตทีสัน ทั้งสองท่านได้เปรียบถึงงานเขียนสองชิ้นระหว่างฮิกายัต อับดุลลอฮ์และตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ แนวคิดใน “ความเป็นมลายู” งานเขียนที่ระบุถึงอัตลักษณ์ของมลายูในลักษณะที่แท้จริงของชาวมลายูตามทัศนะของท่านทั้งสองคือ ตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ อันเนื่องมาจากความคิดที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนชิ้นนี้ที่มีความชัดเจนว่าเขียนขึ้นโดยราชาอาลี ฮะจี สาระสำคัญของตุห์ฟัต อัลนาฟีร์ เป็นเรื่องราวประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมที่จะทำให้อาณาจักรมีความยิ่งใหญ่ แต่ในงานเขียนของมุนชีเป็นงานเขียนที่ต่อต้านประเพณีแบบดั้งเดิมหรือ ประเพณีในราชสำนัก
นอกเหนือจากนั้นงานเขียนของมุนชี อับดุลลอฮ์ยังถูกมองว่าเป็นงานเขียนที่เกิดจากความคิดที่มีความนิยมตะวันตกมากเกินไป รวมไปถึงในความที่เป็นลูกผสมอาหรับ-อินเดีย-มลายูงานเขียนของเขาจึงถูกมองว่าไม่ใช่เป็นงานเขียนที่เป็นตัวแทนของชาวมลายูที่แท้จริง “ความเป็นมลายู” ตามแนวคิดของมุนชี อับดุลลลอฮฺก็ไม่ต่างจากการนิยามในการเป็นมลายูที่ต้องปฏิเสธในรูปแบบจารีตของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามในวิถีชีวิตที่ต้องคลุกคลีกับชาวต่างชาติอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับเป็นคนที่มีหลากหลายเชื้อชาติแต่มีความสำนึกในเรื่องเชื้อชาติมลายูอย่างจริงจังแม้ว่าจะยกย่องเชิดชูชาวตะวันตก
แต่เขาไม่ได้แสดงถึงการเหยียดหยามในเชื้อชาติมลายู และไม่ได้ชี้นำให้ชาวมลายูต้องลอกเลียนวิถีชีวิตตามแบบอย่างของชาวตะวันตก
แม้ว่าแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ไม่ได้เป็นที่สนใจต่อชาวมลายูในช่วงเวลากลางศตวรรษที่ 20 เท่าใดนักแต่ภายหลังจากนั้นอิทธิพลทางแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ก็ได้รับการถ่ายทอดสู่ชาวพื้นเมืองโดยเฉพาะในกลุ่มของยาวี เปอรานากันในกรณีของเจ๊ะมูอัมมัด อูนูส บินอับดุลลอฮ์ (ค.ศ. 1876-1933) ท่านผู้นี้ได้รับแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ผ่านทางสถาบันการศึกษาแรฟเฟิล (RafflesInstitution) ท่านผู้นี้ได้มีส่วนร่วมในหนังสือพิมพ์อูตูสัน มลายู (Utusan Melayu) โดยสาระสำคัญของเนื้อหาภายในหนังสือพิมพ์ชิ้นนี้นั่นก็คือ การวิพากษ์ในการรุกล้ำในวิถีชีวิตของชาวมลายู รวมไปถึงการตอกย้ำในความเป็นมลายูเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นของชาวมลายูภายใต้สังคมที่เริ่มเปลี่ยนไปจากการอพยพของชาวต่าชาติ
แนวความคิดหลักของ อูนูสต่อเขื้อชาติมลายูคือ การเรียกร้องเพื่อสิทธิของคนมลายูในผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองจากคนเชื้อชาติอื่นๆ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย รวมไปถึงประเด็นการสร้างแนวความคิดเรื่องบังสา มลายูต่อจากมุนชี อับดุลลอฮ์ และที่สำคัญการให้ความสำคัญต่อ “ความเป็นมลายู” ของผู้ที่มีบรรพบุรุษอพยพมาจากบริเวณอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันแต่แนวคิดของอูนูสมีความแตกต่างจากแนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ตรงที่ว่า อูนูสไม่ได้มีแนวคิดที่โจมตีระบอบเกอราจาอันเช่นเดียวกันกับมุนชี อับดุลลอฮ์
สำหรับอีกท่านคือ อิบรอฮีม ยะห์กู๊บ(Ibrahim Jaacob) แกนนำของขบวนการสหภาพมลายูหนุ่มหรือ Kesatuan Melayu Muda ( Young Malays Union in Malay ) ท่านผู้นี้เคยโดนคุมขังในช่วงที่อังกฤษมีอิทธิพลเหนือมลายา KMM ขบวนการนี้ได้ก่อตั้งข้นก่อนหน้าการเข้ามาของญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1938 แต่ก็โดนคุมตัวโดยรัฐบาลเจ้าอาณานิคม แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นได้เข้ามาก็ปล่อยตัว และให้เข้ามาทำงานร่วมกันกับญี่ปุ่น เป็นผู้ที่มีแนวคิดชาตินิยมแบบมลายู โดยเขาต้องการรวมดินแดนที่มีชาวมลายูอยู่นั่นก็คือ มาลายา และอินโดนีเซีย รวมเข้าไว้ด้วยกันหรือแนวคิดที่ว่า อินโดนี เซีย รายา (มลายู รายา)
การดำเนินงานของอิบรอฮีม ยะห์กู๊บ และขบวนการของเขาได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นในช่วงระยะเวลาแรก ๆ ของการปกครองภายใต้ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเข้ามาช่วยเหลือการดำเนินงานต่างๆ อย่างเช่น Warta Malaya เป็นวารสารที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อกระจายแนวคิดชาตินิยมมลายูตามรูปแบบของ อิบรอฮีม ยะห์กูบ และ Kesatuan Melayu Muda เป็นขบวนการที่มีความใกล้ชิดกลับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นได้ใช้ขบวนการนี้เป็นเครื่องมือในการครอบครองมลายาแค่ระยะสั้นเท่านั้น แต่ในการเผยแพร่แนวคิดของอิบรอฮีม ยะห์กู๊บไม่เป็นที่ได้รับการยอมรับจากทางฝั่งบริติช มลายาและดัตช์อีสต์อินดีส
บทสรุป
จากการนิยามแนวคิด “ความเป็นมลายู” ดูเหมือนว่าลักษณะของเชื้อชาตินี้จะมีความลื่นไหลบางครั้งเป็นอัตลักษณ์ที่มีความหมายในลักษณะที่แคบ แต่บางครั้งมีลักษณะที่กว้าง ตามแนวคิดของนักวิชาการแต่ละท่าน หรือบางครั้งใน “ความเป็นมลายู” ต้องหลีกเลี่ยงถึงประเพณีจารีตดั้งเดิมของตนเอง การให้คำนิยามต่ออัตลักษณ์นี้ได้กลายเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายมาก และมีความสับสนพอสมควร อีกทั้งยังกลายเป็นปัญหาหนึ่งในการแบ่งผู้คนชาวพื้นเมืองอื่นๆ ในมาเลเซียช่วงเวลาที่เพิ่งได้รับเอกราช
บรรณานุกรม
กรุณา กาญจนประภากูล. วิวัฒนาการของความคิดเกี่ยวกับคำว่า “เมอลายู” ในประวัติศาสตร์มลายู. สารนิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์, 2537.
ชุลีพร วุรุณหะ. ฮิกายัต อับดุลเลาะห์. ใน บุหงารายา ประวัติศาสตร์จากการบอกเล่าของชาวมลายู. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์, 2540.
เทิร์นบุลล์, ซี. แมรี่. ประวัติศาสตร์มาเลเซีย สิงคโปร์และบรูไน. ทองสุก เกตุโรจน์, ผู้แปล.กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2540.
ไพลดา ชัยศร, ผลกระทบของระบบการปกครองของอังกฤษต่อความคิดทางการเมืองของชาวมาเลย์ในรัฐมลายูที่เป็นสหพันธ์ ค.ศ.1896-1941 (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544
อันดายา, บาร์บารา วัตสัน. ลีโอนาร์ด วาย. อันดายา. ประวัติศาสตร์ มาเลเซีย. ผู้แปล พรรณี ฉัตรพลรักษ์ ; บรรณาธิการ มนัส เกียรติธารัย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2549.
Cornelius-Takahama, Vernon. “Munshi Abdullah”, website: National liberal Singapore. url: http://infopedia.nl.sg/articles/SIP_503_2004-12-27.html.
Hamzah Hamdani. Hikayat Abdullah. Selangor: PTS Fotuna,2007
Milner, Anthony. Invention of politics in colonial Malaya: contesting nationalism and the expansion of the public sphere. Cambridge ;New York: Cambridge University Press, 1995.
....................................................................................................................................................................
อธิบายภาพ
1. หนังสือ Hikayat Abdullah กระบอกเสียงเผยแพร่แนวคิดของมุนชี อับดุลลอฮ์ ภาพจาก http://www.goodreads.com/book/show/8608024-hikayat-abdullah
2. อิบรอฮีม ยะห์กู๊บ ภาพจาก http://unofficialversion.wordpress.com/2012/01/06/could-upsi-be-the-catalyst-for-change/
3. แผนที่อธิบายแนวคิดของอิบรอฮีม ยะห์กู๊บ ในจินตนาการอินโดนีเซีย รายา ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Greater_Indonesia
4. Kesatuan Melayu Muda ( Young Malays Union in Malay) ภาพจาก http://malayatimes.wordpress.com/tag/history/