กำเนิดและพัฒนาการของแนวคิด “เชื้อชาติมลายู” ในบริติชมลายา (1)
บทนำ: ประวัติศาสตร์ของเชื้อชาติมลายู
“ความเป็นมลายู” หรือ อัตลักษณ์ในการเป็นคนมลายูเป็นเรื่องราวที่มีการศึกษาค้นคว้าเป็นระยะเวลานานพอสมควร บ่อยครั้งในแวดวงวิชาการมลายูศึกษา จะค้นคว้าและตั้งคำถามเพื่อที่จะค้นหาอัตลักษณ์มลายู ความเป็นมลายูมีความลื่นไหลเป็นอย่างมา จึงทำให้มีการนิยามความเป็นมลายูที่มีความหลากหลายทั้งนักวิชาการตะวันตกที่เข้ามาศึกษาเรื่องราวของชาวมลายู และรวมไปถึงวิชาการและนักการเมืองที่เป็นชาวมลายู ในบทความนี้จะนำเสนอมุมมองบางประการที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด เชื้อชาติมลายู ในบริติชมลายา[1]ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และใครเป็นบุคคลสำคัญต่อแนวคิดดังกล่าวนี้
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของชาวมลายู ความเป็นมลายูได้ถูกกล่าวอย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ว่าอาจจะมีความเป็นไปได้จากการสถาปนารัฐมะละกา เป็นบริเวณที่สามารถกุมความเป็นมลายูได้อย่างเด่นชัด แต่ภายหลังจากการล่มสลายของอาณาจักรมะลากาความเป็นมลายูถูกเคลื่อนย้ายไปสู่รัฐยะโฮร์ที่มีการอ้างว่าได้อ้างการสืบทอดอำนาจจากรัฐมะละกา
อย่างไรก็ตามความชัดเจนในเรื่องของเชื้อชาติเริ่มเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นภายหลังการเดินทางเข้ามาของชาวตะวันตก พร้อมด้วยแนวคิดเรื่องชาติ และวิทยาการสมัยใหม่ที่จะสามารถแบ่งกลุ่มคนได้โดยอาศัยจากปัจจัยหลายอย่าง ความคิดของชาวตะวันตกได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางคิดของชาวพื้นเมืองที่แต่เดิมมีความคิดเรื่องชาติเพียงแค่หลวมๆเท่านั้น และแนวคิดเรื่องชาติได้ส่งอิทธิพลกระทั่งมาถึงปัจจุบัน “ความเป็นมลายู” จึงได้กลายเป็นเรื่องราวที่น่าศึกษาและทำความเข้าใจ รวมไปถึงการถ่ายทอดแนวคิดเรื่องเชื้อชาติจากชาวตะวันตกสู่ชาวพื้นเมือง
แนวคิด “ความเป็นมลายู” นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสภาพทางสังคมของรัฐที่อยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายู และได้มีการนิยาม “ความเป็นมลายู” ที่มีความหลากหลายและมีพัฒนาการอยู่ตลอดระยะเวลา นับตั้งแต่การก่อตั้งมะละกาในช่วงศตวรรษที่ 15 ทำให้ความเป็นมลายูถูกกำหนดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเวลาดังกล่าว ตามที่ปรากฏในเซอจาเราะห์ มลายู (Sejarah Melayu) ซึ่งเป็นผลผลิตจากชาวตะวันตกที่ถ่ายทอดออกมาอย่างแพร่หลาย กับวิธีการจำแนกผู้คน งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ในยุคจารีตของชาวมลายู เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการนิยามความหมายของเชื้อชาติมลายู มะละกากลายเป็นแหล่งรวบรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรม
แต่หลังจากที่มะละกาล่มสลายลงในปี ค.ศ.1511 จากการพ่ายแพ้สงครามต่อโปรตุเกส ส่งผลต่อการถูกยึดครองและทำให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามามีอิทธิพลเพิ่มสูงขึ้นภายในดินแดนแห่งนี้ โดยในการต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวตะวันตกได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่งคือ การจำแนกผู้คนแยกจากกันเป็นกลุ่ม ตามที่อัตลักษณ์ที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นรวมเป็นคนกลุ่มเดียวกัน และหลังจากนั้นมีการประดิษฐ์สร้างจิตสำนึกภายในกลุ่มนั้นๆ แนวคิดใน “ความเป็นมลายู ที่เกิดขึ้นหลังจากการจำแนกโดยชาวตะวันตก ส่งผลให้เกิดความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของเชื้อชาติของตนในเวลาต่อมา เมื่อมีการสืบย้อนไปในอดีตเกี่ยวกับที่มาของแนวคิด “ความเป็นมลายู” ตามที่ปรากฏอยู่ในอยู่ในเซอจาเราะห์มลายู
อาณานิคมและแนวคิดเรื่องเชื้อชาติ
สังคมมลายูภายหลังการเข้ามาของชาวตะวันตก ได้กลายเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ การตอกย้ำถึงอัตลักษณ์เชื้อชาติมลายูในช่วงที่ลัทธิอาณานิคมตั้งมั่นในพื้นที่ของชาวมลายู การหลั่งไหลเข้าสู่ บริติชมลายาของชาวจีนและอินเดียมีจำนวนมากขึ้น แนวคิดเรื่องเชื้อชาติที่เป็นความ รู้แบบตะวันตกได้เข้ามาโดยนักวิชาการชาวตะวันตกที่เข้ามาศึกษาชาวมลายูคนที่มีความสำคัญนั่นก็คือ John Grawfurd มีการศึกษาว่าอัตลักษณ์ที่แท้จริงของชาวมลายูนั้นเป็นอย่างไร และอีกท่านคือ สแตมฟอร์ด แรฟเฟลล์ (Stamford Raffles)ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“ฉันไม่สามารถตัดสินคนมลายูหรือชาติมลายูเพียงคนเดียว จากการพูดหนึ่งภาษา แม้ว่าจะกระจายกว้างขวางในช่วงเวลาหนึ่ง และคงสภาพไว้ซึ่งคุณลักษณะพิเศษและขนบธรรมเนียม ในรัฐใกล้ทะเลทั้งหมดระหว่างทะเลซูลูและมหาสมุทรตอนใต้ ”
ในช่วงเวลาศตวรรษที่ 19 สำนึกเรื่องเชื้อชาติดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวของชาวมลายู แต่มีชาวมลายูกลุ่มหนึ่งที่เริ่มเกิดสำนึกในเรื่องเชื้อชาตินั่นคือ กลุ่มยาวี เปอรานากัน
ยาวี เปอรานากัน มุนชี อับดุลลอฮ์ และคำอธิบายเรื่องเชื้อชาติมลายู
กลุ่มยาวี เปอรานากัน เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่เป็นลูกผสมระหว่างพ่อชาวอินเดียและแม่ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยูในบริเวณคาบสมุทรมลายู ส่วนใหญ่แล้วคนกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่บริเวณสเตรท เซทเทิลเมนต์ [2] กลุ่มยาวี เปอรานากันเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการใช้ภาษาทั้งภาษามลายู ภาษาอาหรับรวมไปถึงภาษาอังกฤษด้วย ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเข้ามามีบทบาทในด้านการพิมพ์สูง แลพวกเขาเหล่านี้ยังมีการถ่ายทอดแนวคิดของเชื้อชาติมลายูให้แก่ชาวพื้นเมืองทั่วไปผ่านงานเขียนของพวกเขา
ชาวพื้นเมืองคนแรกๆ และเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มยาวี เปอรานากัน ที่ได้รับแนวคิดการสำนึกถึงเรื่องเชื้อชาติในอาณานิคมกลับไม่ใช่ชาวพื้นเมืองมลายูแท้แต่เป็นชาวมลายูลูกผสมนั่นคือ อับดุลลอฮฺ บิน อับดุลกอเดร์ เป็นชาวมลายูเชื้อสายอาหรับ อินเดีย เกิดที่มะละกา และใช้ชีวิตการทำงานทั้งมะละกาและสิงคโปร์ อับดุลกอเดร์ บิดาของอับดุลลอฮฺเป็นชาวอาหรับเดินทางมาเป็นครูสอนศาสนาและภาษาในมะละกาและได้สมรสกับชาวพื้นเมืองที่นั่น มุนชี อับดุลลอฮ ได้อาศัยอยู่ท่ามกลาง ความหลากหลายทางเชื้อชาติและสังคมที่เป็นไปด้วยวิทยาการสมัยใหม่ของชาวตะวันตกความรู้ใหม่ๆ ในเรื่องของเชื้อชาติได้ซึมลึกลงไปในความคิดเขา
อับดุลลอฮฺ บิน อับดุลกอเดร์ มุนชี หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า มุนชี[3] อับดุลลอฮฺ เป็นชาวมลายูที่มีเชื้อสายอาหรับและอินเดีย มุนชี อับดุลลอฮฺเกิดเมื่อ 1797 ที่มะละกาและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1854 ที่เมืองเจดดาห์, ซาอุดีอาระเบีย และได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งวรรณกรรมลายูสมัยใหม่ เป็นปัญญาชนชาวพื้นเมืองคนแรกที่นำเสนอแนวคิด “มลายูนิยม” โดยชูความยิ่งใหญ่ของชนชาติมลายู ตลอดเวลาเกือบทั้งชีวิต มุนชี อับดุลลอฮฺได้ใกล้ชิดกับชาวตะวันตก จึงทำให้มุนชี อับดุลลอฮฺได้รับอิทธิพลทางด้านแนวคิดเรื่องเชื้อชาติจากทางตะวันตกอยู่สูงมากเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันที่มุนชี อับดุลลอฮฺได้ชูความยิ่งใหญ่ของชนชาติมลายู จึงทำให้มุนชี อับดุลลอฮฺได้รับอิทธิพลทางด้านแนวคิดเรื่องเชื้อช และยังคงได้วิพากษ์ความเป็นอยู่แบบจารีตของสังคมมลายู ที่มีความล้าหลังสังคมมลายูยังคงยึดติดกับจารีตแบบเดิม และยังมีความกล้าหาญที่ได้กล่าววิพากษ์สุลต่านในระบอบเกอราจาอันที่เป็นต้นเหตุสำคัญของความอ่อนแอจนต้องและกลายเป็นอาณานิคมตะวันตกในที่สุด
จากแนวคิดดังกล่าวของมุนชี อับดุลลอฮฺ ได้สร้างความไม่พอใจแก่ผู้คนมลายูและยังเป็นที่ไม่ได้รับความนิยมจากชาวพื้นเมืองเท่าใดนัก มุนชี อับดุลลอฮฺ ได้สร้างวลีหนึ่งที่มีความหมายเกี่ยวกับสังคมมลายูที่เขาได้พบเห็นในช่วงเวลานั้นที่ว่า
“โลกเก่ากำลังถูกทำลายลง โลกใหม่ถูกสร้างขึ้น และรอบๆ ตัวเรามีความเปลี่ยนแปลง”
จากประโยคดังกล่าวข้างต้นได้มีความครอบคลุมสังคมมลายูใน ช่วงศตวรรษที่ 19 ได้เป็นอย่างดีในการเปลี่ยนแปลงของสังคมมลายู ที่สังคมเก่าเริ่มที่จะเปลี่ยน แปลงไปตามอิทธิพลของตะวันตก
พหุสังคมและการเกิดขึ้นของเชื้อชาตินิยม
สำหรับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่นำสังคมของ บริติช มลายาเข้าสู่ลักษณะที่เป็น “พหุสังคม” นั่นเป็นผลจากนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของอังกฤษ ผลจากการที่อังกฤษได้สถาปนา สเตรท เซทเทิลเมนต์ โดยมีการรวมพื้นที่ของ สิงคโปร์ มะละกา ปีนัง โดยวัตถุประสงค์เพื่อการควบคุมผลประโยชน์ของกิจการเดินเรือขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกา โดยในช่วงเวลาดังกล่าวอังกฤษยังไม่แสดงท่าทีที่จะมีอำนาจทางการเมืองเหนือบรรดารัฐมลายูต่างๆ ในตอนนั้น แต่อังกฤษใช้การปกครอง สเตรท เซทเทิลเมนต์ โดยมีข้าราชการโดยตรงจากอังกฤษมีอำนาจในการปกครองและการบริหารกิจการต่าง ๆ ของสเตรท เซทเทิลเมนต์
จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านของการค้าและรวมไปถึงกิจการเหมืองแร่ดีบุกที่มีการขุดเจาะเป็นจำนวนมาก ทางการของอังกฤษมีความต้องการในการหาแรงงานเพื่อมาตอบสนองต่อการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเป็นที่น่าสังเกตุที่ว่าชาวพื้นเมืองมลายูส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะเข้าเป็นแรงงานของกิจการเหมืองแร่ ทางการของอังกฤษจึงมีความจำเป็นที่จะนำเข้าแรงงานจากที่อื่นๆ โดยแรงงานที่มีความสำคัญต่ออังกฤษนั้นก็คือ ชาวจีน และชาวอินเดีย โดยผู้คนทั้งสองเชื้อชาตินั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาตั้งถิ่นฐานโดยถาวรจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของ สเตรท เซทเทิลเมนต์
การเข้ามาของชนชาติอื่นในมลายาส่งผลต่อแนวคิดทางด้านเชื้อชาติของชาวมลายูในระดับหนึ่ง นอกจากการนำประเด็นเรื่องเชื้อชาติเข้ามาโดยชาติอาณานิคมแล้ว ด้วยสำนึกบางประการและจากนโยบายแบ่งแยกแล้วปกครองของอังกฤษทำให้ปฏิสัมพันธ์ของชาวมลายูต่อชนชาติอื่นลดน้อยลงไปด้วย ความแตกต่างของผู้คนแต่ล่ะกลุ่มจะมีความชัดเจนอยู่สูงมากความแตกต่างของคนในพื้นที่ สามารถแบ่งได้อย่างชัดเจนมากทั้งลักษณะทางด้านกายภาพ วัฒนธรรม และการนับถือศาสนา ในการที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้คนซึ่งมีความแตกต่างไปจากตนเอง
บรรณานุกรม
กรุณา กาญจนประภากูล. วิวัฒนาการของความคิดเกี่ยวกับคำว่า “เมอลายู” ในประวัติศาสตร์มลายู. สารนิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาควิชาประวัติศาสตร์, 2537.
ชุลีพร วุรุณหะ. ฮิกายัต อับดุลเลาะห์. ใน บุหงารายา ประวัติศาสตร์จากการบอกเล่าของชาวมลายู. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์, 2540.
เทิร์นบุลล์, ซี. แมรี่. ประวัติศาสตร์มาเลเซีย สิงคโปร์และบรูไน. ทองสุก เกตุโรจน์, ผู้แปล.กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2540.
ไพลดา ชัยศร, ผลกระทบของระบบการปกครองของอังกฤษต่อความคิดทางการเมืองของชาวมาเลย์ในรัฐมลายูที่เป็นสหพันธ์ ค.ศ.1896-1941 (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544
Hamzah Hamdani. Hikayat Abdullah. Selangor: PTS Fotuna, 2007
Milner, Anthony. Invention of politics in colonial Malaya: contesting nationalism and the expansion of the public sphere. Cambridge ;New York: Cambridge University Press, 1995.
................................................................................................
อธิบายภาพ
1. ภาพกริช อุปกรณ์สำคัญของชาวมลายู ภาพจาก http://talk.mthai.com/topic/127261
2. กลุ่มยาวี เปอรานากัน ภาพจาก http://mforum.cari.com.my/forum.php?mod=viewthread&tid=497813
3. มุนชี อับดุลลอฮ์ ภาพจาก http://thestar.com.my/metro/story.asp?file=/2007/9/15/central/18882527&sec=central
4. สเตรท เซทเทลเมนต์ ภาพจาก http://th.wikipedia.org
[1] บริติชมลายา คือ อาณานิคมของอังกฤษบนคาบสมุทรมลายู ซึ่งเป็นประเทศมาเลเซียและสิงค์โปร์ในปัจจุบัน
[2] สเตรท เซทเทิลเมนต์ หรือ อาณานิคมช่องแคบ คืออาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยดินแดนที่เป็นรัฐปีนัง ดินดิง (ส่วนหนึ่งของรัฐเประ) รัฐมะละกา สิงคโปร์ และลาบวนในปัจจุบัน
[3] มุนชีเป็นชื่อที่ใช้เรียกครูสอนภาษา