รอมาฏอนภายใต้การปิดเมืองหนุนมุสลิมพูดถึงการปฎิบัติธรรมมากขึ้น

รอมาฏอนภายใต้การปิดเมืองหนุนมุสลิมพูดถึงการปฎิบัติธรรมมากขึ้
 
 
ท่านผู้อ่านอาจจะพิจารณาดูชื่อเรียกเดือนอันประเสิรฐนี้ที่แตกต่างหลากหลาย เพื่อจะเห็นว่าสังคมมุสลิมมีความแตกต่างหรือแตกแยกมากน้อยเพียงใด ถ้าหากคุณมาจากซาอุดิอาระเบีย คุณอาจจะเรียกว่า "รอมาฎอน" แต่ถ้าคุณมาจากอินเดียคุณจะเรียกเดือนนี้มา "รอมาฎอน" พ่อแม่ของผมซึ่งมาจากปันจาบของประเทศปากีสถานสอนให้ผมเรียกเดือนนี้ว่า "โรซาย" 
 
ผู้คนอาจจะต้องมีสมาธิมากขึ้นในเดือนนี้เนื่องจากมัสยิดถูกปิด ต้องขอบคุณโควิด 19 นั้นหมายความว่าการถือศีลอดในช่วงกลางวันได้ถูกเปลี่ยนจากการถูกทำให้เป็นเรื่องของสถาบันศาสนาให้เป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือิสลามแล้วนี้เป็นโอกาสที่จะได้เห็นความเป็นอิสลามที่เป็นหนึ่งเดียวน้อยลง และเห็นความแตกต่างหลากหลายของคนมุสลิมมากขึ้น 
 
การถือศีลอดในเดือนรอมาฏอนเป็นศีลที่สำคัญในศาสนาอิสลาม มันเป็นเดือนที่ประเสิรฐที่สุดในปฏิทินอิสลาม มันคือทั้งเดือนที่ผู้ศรัทธาต้องถือศีลอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก โดยไม่กินและดื่ม มันเป็นศีลที่คัมภีร์อัลกรุอ่านได้บัญญัติไว้เพื่อเป็นการเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้า
 
เป็นเดือนที่มุสลิมเน้นการบริจาค มัสยิดจะเต็มไปด้วยผู้คน มันเปรียบเหมือนเดือนแห่งการเติมพลังสำหรับมุสลิมเพื่อจะปฏิบัติละหมาดและปฏิบัติธรรมในพื้นที่ส่วนตัวหรือร่วมกับผู้อื่น ซึ่งรวมไปถึงการละหมาดเพิ่มในช่วงกลางคืน ซึ่งเรียกว่า "ตารอเวียะฮ์" 
 
แต่ปีนี้แตกต่างออกไป มุสลิมทั่วโลกถือศึลอดอยู่ในบ้านของตัวเองเนื่องจากโคโรน่าไวรัสได้เปลี่ยนท่วงทำนองของเดือนนี้ไป การถกเถียงที่หนักแน่นเริ่มขึ้นเมื่อรัฐบาลออกมาตรการปิดพื้นที่สาธารณะ รวมไปถึงมัสยิดและการเสนอเกี่ยวกับการละหมาดออนไลน์ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของมุสลิมประจำสัปดาห์
 
กฎหมายอิสลาม
 
นักวิชาการทั่วโลกได้เสนอแนวคิดและปรัชญาต่าง ๆ จากแนวปฏิบัติทางกฎหมายในศาสนาเพื่อช่วยในการสร้างเข้าใจในช่วงเวลาที่ไม่ปรกติ อิสลามมีระบบนิติศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งเรียกว่า "ฟิกฮ์" ในประเทศไอร์แลนด์ อีมามเชคอุมัร อัลกอดรี ได้ออกคำฟัตวา (วินัจฉัยจากนิติศาสตร์อิสลาม) สนับสนุนการละหมาดออนไลน์ แต่แนวคิดนี้ถูกปฏิเสธจากหลายท่านซึ่งมองว่าการละหมาดวันศุกร์นั้นต้องทำในทางกายภาพเท่านั้น อีม่ามคนดังกล่าวโต้แย้งด้วยข้อแถลงว่า "ในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ต้องการทางออกที่ไม่เคยมีมาก่อน" 
 
ในวงสนทนาวิชาการออนไลน์ที่ผมเป็นสมาชิกนั้น ซาดียาห์ เชค นักวิชาการอิสลามจากแอฟริกาใต้ เล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับการละหมาดวันศุกร์ของกลุ่มผู้หญิง ที่ที่สมาชิกในครอบครัวเข้าร่วมผ่านซูมว่า "หลายครั้งที่การปฎิบัติของมุสลิมที่มีลมหายใจเดินล่วงหน้าไปก่อน 'ฟิกฮ์'" 
 
มีข้อถกเถียงที่เห็นด้วยและเห็นต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับการทำละหมาดตารอเวียะฮ์ออนไลน์ และทัศนะโดยทั่วไปปรากฎให้เห็นว่า "การละหมาดออนไลน์" นั้นไม่ถูกต้อง และการละหมาดร่วมกันนั้นต้องจัดในสถานที่ที่มีอีม่ามอยู่ด้วยกัน แต่ทัศนะโดยส่วนใหญ่นี้อาจจะปฏิเสธความเชื่อและศรัทธาของคนที่ไม่ได้มีความคิดกระแสหลักแบบดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจ 
 
แตกต่างที่ความเชื่อ แตกต่างที่การปฎิบัติ 
 
เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องกล่าวย้ำว่าประสบการณ์ของมุสลิมในการปฎิบัติศาสนกิจที่มุสลิมเป็นเรื่องที่ไกลจากความเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง ข้อความทวีตของซาร่า อายูบี นักวิชาการอิสลามในอเมริกา ได้แพร่ไปอย่างกว้างขวางก่อนที่เดือนรอมาฎอนจากมาถึง โดยเขาส่งเสียงไปถึงผู้ชายมุสลิมที่รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ไปละหมาดที่มัสยิดว่า 
 
"ผู้ชายร้องไห้ที่ไม่ได้ไปละหมาดที่มัสยิด ละหมาดที่บ้านก่อน ผู้ชาย! อะไรนะ? คุณพูดอะไร? คุณจะขาดหายความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน" คุณไม่รู้สึกว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของอุมมะฮ์หรือ? คุณรู้สึกว่าเป้าหมายทางด้านจิตวิญญานของคุณถูกขโมยไป? นั้นคืออภิสิทธิ์ของผู้ชายที่ถูกระงับ แค่ชั่วคราว" 
 
การปรากฎตัวของมุสลิมเควียร์ที่เพิ่มขึ้นกำลังท้าท้ายภาพความคุ้นเคยเดิม ๆ ตัวอย่างหนึ่งจากรายการ Drag Race ที่ผู้จัดตั้งคำถาม Jackie Cox ลูกครึ่งอเมริกันอิหร่าน ในลักษณะว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ต่อต้านคนรักร่วมเพศและผู้หญิง Cox ตอบกลับไปว่าในฐานะที่เขาเป็นอเมริกันที่มาจากอิหร่าน เป็นไปได้สำหรับเขาที่จะเป็นมุสลิมและเกย์
 
มุสลิมเควียร์ต้องต่อสู้กับสงครามสองด้าน ทั้งกระแสหวาดกลัวอิสลามและการหวาดกลัวคนรักเพศเดียวกัน และสำหรับหลายคนเดือนรอมาฎอนเป็นเหตุการณ์จุดกระแสเพราะพวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นชุมชนเหมือนกับคนอื่น แต่ความคืบหน้าก็พอมีให้เห็นบ้าง จากการก่อตั้งมัสยิดที่เป็นมิตรกับมุสลิมเควียร์ เช่น Masjid al-Rabia ในชิคาโก และ Inclusive Mosque Initiative ในลอนดอน สถานที่เหล่านี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการปฎิบัติตัวของเควียร์มุสลิมในช่วงรอมาฎอน 
 
มีมุสลิมที่ไม่ถือศึลอดหรือไม่? เราอาจจะเห็นตัวอย่างจาก Mirza Ghalib ผู้ซึ่งเป็นกวีคนสำคัญในช่วงโมกุลแห่งศตวรรษที่ 19 เขาตอบผู้ปกครองในยุคนั้นว่า "ทูนหัว ผมไม่ได้ถือนอกจากหนึ่งวัน" 
 
เราอาจจะมองข้ามคำตอบของ Ghalib ได้ว่าอะไรคือความหมายของการนับถือศาสนา แต่เราคงปฎิเสธงานต่างๆ ของเขาที่ทุ่มเทเสียสละเพื่อพระเจ้าไม่ได้ เช่นเดียวกับกรณีของ Robert Burns ที่ตั้งคำถามต่อศาสนจักรผ่านบทกลอนของเขา
 
ประสบการณ์ของมุสลิมแตกต่างกันไม่เพียงแค่ระหว่างมัสยิดกับมัสยิดเท่านั้น แต่ระหว่างมุสลิมกับมุสลิมด้วย การอุทิศตนให้พระเจ้าเป็นการส่วนตัวนั้นมีความหมายว่าประสบการณ์ทางศาสนาไม่สามารถเหมือนหรือลอกเลียนแบบได้ นั้นหมายความว่าเรามีอิสระที่จะเข้าถึงประสบการณ์ที่หลากหลายของอิสลามในแบบของตนเอง 
 
ที่มา https://theconversation.com/ramadan-under-lockdown-is-encouraging-muslims-to-talk-about-the-way-they-worship-137323?utm_source=facebook&utm_medium=bylinefacebookbutton&fbclid=IwAR0vDR8-_gd5cHpgIA8ZJh_qRH4MQ9sNpc1SnEI29BmJFaEu5swdDtxUwqA
 
แปลโดย ปาตานีฟอรั่ม