อีกมุมหนึ่งของ"The Aprils Fool Day" ในประวัติศาสตร์มุสลิม

ภาพจาก fajaradeputra.wordpress.com

นับตั้งแต่อิสลามได้ประกาศอิสรภาพในศตวรรษที่ 8 โดยท่านแม่ทัพฏอริก บิน ซิยาด ดินแดนสเปนก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง และศาสนาอิสลามได้เปล่งประกายบนดินแดนของสเปนด้วยความนอบน้อมถ่อมตนของบรรดาผู้ปกครองมุสลิมบางท่าน ที่ได้มีส่วนทำให้ชาวสเปนจำนวนมากที่ได้หันเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยความบริสุทธิ์และความเต็มใจ

ในขณะที่ชาวกาเฟรที่ยังอยู่รอบๆ แผ่นดินสเปน ที่ยังคงมุ่งหมายพยายามที่จะขจัดศาสนาอิสลามให้หมดไปจากแผ่นดินสเปนอย่างไม่รู้จักย่อท้อเหน็ดเหนื่อยแต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เคยบรรลุผลสำเร็จ ก็เลยได้ใช้กลอุบายด้วยส่งสายลับเข้าไปศึกษาเรียนรู้ถึงจุดอ่อนของชาวมุสลิมในสเปน จนในที่สุดบรรดาสายลับก็ได้พบกับข้อบกพร่องที่จะใช้มาตรการที่จะเอาชนะศาสนาอิสลามในสเปน ซึ่งอันดับแรกข้อคือการทำลายความศรัทธาของพวกเขาให้เสื่อมลงให้ได้ ผ่านการปลูกฝังแนวคิดและในรูปแบบของวัฒนธรรม

ดังนั้นพวกเขาเริ่มต้นด้วยวิธีการอย่างเงียบๆ โดยการลักลอบนำส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเข้าไปในสเปน มีการส่งเสริมการเล่นดนตรีเพื่อที่จะชี้ชวนให้บรรดากลุ่มเยาวชนหนุ่มสาวมุสลิมในสเปนให้มีความคลั่งไคล้ต่อเสียงเพลงและการเต้นรำมากกว่าการอ่านคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และพวกเขายังได้มีการส่งนักปราชญ์แอบอ้าง(นักปราชญ์ปลอม)เพื่อทำหน้าที่คอยเสี้ยมสอนความขัดแย้งให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวสเปน ซึ่งนับวันความวิริยะของพวกเขาก็ได้ปรากฏผล

ในที่สุดสเปนได้ตกอยู่ในอุ้งมือของชาวคริสตร์ ซึ่งการโจมตีโดยพวกคริสตร์ได้ดำเนินการอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนโดยไร้ซึ่งความเป็นมนุษยธรรม ไม่เพียงแต่กองกำลังมุสลิมเท่านั้นที่ถูกเข่นฆ่า ชาวบ้านพลเรือนทั่วไปยังไม่มีการละเว้น สตรี เด็กๆ และคนชรา ล้วนจบลงด้วยด้วยความบ้าบิ่น

เมืองแล้วเมืองเล่าของสเปนได้หมดอำนาจลง เมืองกรานาดาที่ในที่สุดที่ต้องผ่านพบกับความพ่ายแพ้ ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในสเปน (หรือเรียกอีกชื่อว่าชาวมอร์) จำเป็นที่จะต้องหลบภัยอยู่แต่ในบ้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ทหารคริสต์เตียนมักจะไล่ล่าพวกเขาในช่วงเวลาที่เดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง ร่างของพวกเขาจะถูกทิ้งขว้างในสภาพอาบเลือดอยู่บนท้องถนนกองพะเนินหลายพันศพอยู่อย่างกระจัดกระจายระเนระนาด หากพวกเขารู้ว่ายังมีมุสลิมที่เหลืออีกจำนวนมากในเมืองกรานาดาที่ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ทหารคริสต์เตียนจะร้องตะโกนประกาศว่า หากมีมุสลิมที่ยังหลงเหลือสามารถออกจากบ้านได้อย่างปลอดภัย จะได้รับอนุญาตให้แล่นเรือออกจากสเปนพร้อมกับสัมภาระจำเป็นติดตัวไป "บรรดาเรือที่จะพาพวกคุณออกไปจากแผ่นดินสเปน บัดนี้ที่ท่าเทียบเรือเราได้เตรียมการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราขอรับผิดชอบในเรื่องความปลอดภัยให้กับพวกคุณในการเดินทางออกจากสเปน แต่หลังจากนั้นพวกเราไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้อีกแล้ว" คำกล่าวของทหารคริสต์เตียน

มีมุสลิมบางคนที่ยังคงมีความสงสัยกับคำเชิญชวนดังกล่าว ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ได้รับอนุญาตให้เลือกดูเรือโดยสารด้วยตัวเองที่เตรียมการที่ท่าเทียบเรือไว้แล้ว และหลังจากที่พวกเขาได้เห็นกับตาอย่างชัดแจ้งแล้ว พวกเขาพากันทยอยขึ้นเรือเพื่อเดินทางออกจากเมืองกรานาดาพร้อมกับสัมภาระ และพวกเขาก็พร้อมที่จะแล่นเรือไป

ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ชาวเมืองกรานาดานับพันคนได้อพยพออกจากบ้านของพวกเขาพร้อมกับสิ่งอำนวยความจำเป็นบางส่วนติดตัวไป กำลังรอที่จะขึ้นเรืออย่างหนาแน่นที่ท่าเทียบเรือ และสำหรับชาวมุสลิมบางส่วนที่ไม่เชื่อใจทหารคริสต์เตียน พวกเขาได้ซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านของตนเอง และแล้วหลังจากที่ชาวมุสลิมหลายพันคนได้รวมตัวกันที่ท่าเทียบเรือหมดแล้ว บรรดาทหารคริสต์เตียนได้กรู่เข้าไปในหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นเปลวเพลิงได้ลุกไหม้บ้านเรือนอย่างรุนแรงและยังมีมุสลิมบางคนที่ยังคงอดทนอยู่ในนั้น

ชาวมุสลิมนับพันที่ถูกกักตัวที่ท่าเทียบเรือ

ต่างมีอาการตกตะลึงเมื่อทหารคริสต์เตียนได้จุดไฟเผากองเรือที่จะเป็นพาหนะในการอพยพพวกเขาออกจากแผ่นดินสเปนอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า และเรือดังกล่าวได้จมลงในทะเลอย่างรวดเร็ว ชาวมุสลิมนับพันมิอาจทำอะไรได้อีกทั้งปราศจากอาวุธด้วยซ้ำ และพวกเขาก็ได้มีการแยกกลุ่มผู้หญิง กลุ่มสตรี เด็กเล็ก ท่ามกลางที่ถูกรายล้อมด้วยคมดาบที่แหลมคม

เมื่อเสียงร้องจากผู้นำกองทัพคริสต์เตียนได้ดังขึ้น บรรดาทหารคริสต์เตียนหลายพันคนได้กรีฑาทัพเข้าไปเข่นฆ่าชาวมุสลิมสเปนอย่างรวดเร็วโดยไร้ซึ่งความปราณีแต่อย่างใด เสียงโหยหวนคร่ำครวญร้องไห้และตักบีรดังระงม แต่พวกเขายังคงเข่นฆ่าอย่างไม่เลือกหน้าแม้กระทั่งพลเรือนที่ไม่มีทางสู้

ชาวมุสลิมสเปนที่อยู่ที่ท่าเทียบเรือดังกล่าวเกือบทั้งหมดจะถูกฆ่าตายอย่างรุนแรงและปาเถื่อน เลือดไหลท่วมออกทางตา มหาสมุทรสีฟ้าได้กลายเป็นสีแดงข้น ซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นตรงกับวันที่ 1 เมษายน นี่คือสาเหตุที่ชาวคริสต์เตียนได้มีการเฉลิมฉลลองของชาวคริสต์เตียนโลกทุกๆ วันที่ 1 เมษายน ( The Aprils Fool Day)

สำหรับชาวมุสลิมในวันดังกล่าวถือเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าโศกเศร้าอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่พี่น้องร่วมศรัทธาได้ถูกเชือดถูกเข่นฆ่าในเมืองกรานาดาของสเปนโดยกองทัพคริสต์เตียนสเปน  ด้วยเหตุนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรยิ่งนักถ้าหากว่ามีมุสลิมท่านใดจะเข้าร่วมในเทศกาลการเฉลิมฉลองงานนี้ เพราะจะเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในวันที่ 1 เมษายน พอดี  เพราะในความเป็นจริงแล้วเรากำลังชื่นชมยินดีและปิติสรวลเฮฮาไปกับโศกนาฏกรรมที่ชาวมุสลิมที่ถูกฆ่าล้างโคตรนับพันที่เมืองกรานาดาสเปนในสมัยอดีต

หมายเหตุ: แปลเรียบเรียงจาก http://www.infosolusihebat.com/2016/04/pembantaian-umat-islam-di-spanyol.html?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook