อีกไม่นานยุทธศาสตร์การรับมือโควิดของสวีเดนจะเป็นต้นแบบของโลก

อีกไม่นานยุทธศาสตร์การรับมือโควิดของสวีเดนจะเป็นต้นแบบของโลก 
 
ประเทศจีนทำการกักตัวผู้ป่วย 50 ล้านคนในเมือง Hubei ในเดือนมกราคม นับแต่นั้นมา ประเทศประชาธิปไตยต่างก็มีมาตรการแบบอำนาจล้นมือในการจัดการกับโควิด โดยในช่วงกลางเดือนมีนาคม เกือบทุกประเทศจาก OECD มีมาตรการปิดโรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน ขนส่งสาธารณะ จำกัดงานทางสังคม และการเดินทางทั้งในและนอกประเทศ แต่มีเพียงหนึ่งประเทศที่ยืนเด่นอย่างกล้าหาญในโลกตะวันตก 
 
สวีเดนขอความร่วมมือให้ประชาชนถือการสร้างระยะห่างทางสังคม แทนที่จะใช้มาตรการปิดประเทศและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สวีเดนมีมาตรการจำกัดบางอย่างเพื่อลดระดับของเส้นผู้ติดเชื้อ เช่น ไม่ให้มีการรวมตัวกันเกิน 50 คน ไม่มีบริการบาร์เบียร์ ทำการเรียนรู้ทางไกลในระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย และอื่นๆ แต่เขาไม่มีมาตรการที่เข้มงวด ควบคุม หรือสั่งปรับ คนสวีเดนเปลี่ยนพฤติกรรมแต่ไม่เหมือนกับคนในประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ร้านอาหารยังเปิดให้บริการ แม้ว่าจะมีการแออัดอยู่บ้าง เด็กๆ ยังได้ไปโรงเรียน แต่ที่แตกต่างจากประเทศนอร์เวย์และประเทศอื่นในเอเชียคือ สวีเดนไม่ใช้เทคโนโลยีและแอฟต่างๆ ในการติดตามสถานที่ นั้นหมายความว่าเขาหลีกเลี่ยงการคุกคามความเป็นส่วนตัว
 
สวีเดนยังไม่มีการประกาศเป้าหมายอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับมาตรการ herd immunity (ภูมิคุ้มกันของชุมชน) อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามันจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมากกว่าร้อยละ 60 ของประชากรติดเชื้อไวรัส เป็นที่แน่ใจได้ว่าการขยายภูมิคุ้มกันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางกว้าง ๆ ของรัฐบาล อย่างน้อยที่สุดก็ยังอนุญาตให้เปิดร้านอาหาร โรงเรียน และภาคธุรกิจอื่น ๆ Anders Tegnell ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จาก Sweden's Public Health Agency ชี้ให้เห็นว่าเมือง Stockholm สามารถใช้ herd immunity ได้ตั่งแต่เดือนนี้ นอกจากนั้น Tom Britton คำนวนจากสมมุติฐานด้านพฤติกรรม (ระยะห่างทางสังคมที่เป็นปกติจะเปลี่ยนพฤติกรรมของชาวสวีเดน) ว่า ร้อยละ 40 ของการสร้างภูมิคุ้มกันในเมืองหลวงสามารถหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างเพียงพอ และอาจจะทำใด้ในกลางเดือนมิถุนายน
 
สวีเดนได้รับการกล่าวขานในหลายด้านสำหรับการรักษาสภาพปกติทางเศรษฐกิจและยังคงรักษาอัตราการตายต่อหัวให้มีจำนวนน้อยประเทศเบลเยี่ยม ฝรั่งเศษ อิตาลี ฮอลแลนด์ สเปน และอังกฤษ แต่ก็มีคำวิจารณ์อยู่บ้างว่าไม่สามารถควบคุมอัตราการเสียชีวิตต่อหัวของผู้สูงวัยและผู้อพยพได้ จากการรายงานของ Tegnell ในสวีเดน ผู้คนรับการรักษาและบริการของผู้สูงวัยอยู่ในอัตรามากกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการมีมาตรการป้องกันที่ช้า เช่น การใส่หน้ากาก แน่นอนว่า ผู้อพยพได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เพราะว่าพวกเขาจนกว่าและมักจากทำงานภาคบริการ ซึ่งไม่สามารถทำงานจากบ้านได้ แต่สวีเดนก็ได้โต้แย้งว่าอัตราการเสียชีวิตที่สูงว่าจะปรากฏว่าต่ำกว่าเมื่อทำการเปรียบเทียบย้อนหลัง แต่กระนั้น ความพยายามในการควบคุมไวรัสในหลายประเทศทำท่าว่าจะล้มเหลวและผู้คนจำนวนมากได้รับผลกระทบในที่สุด อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับอัตราการเสียชีวิตในระลอกที่สอง ดูเหมือนว่าสวีเดนก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดเช่นกัน 
 
การรับมือของสวีเดนไม่ได้ดีสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ประสบความสำเร็จในการสร้างภูมิคุ้มกันในหมู่คนหนุ่มสาวและกลุ่มที่มีสุขภาพดีอยู่แล้ว และในขณะเดียวกันก็สามารถลดเส้นโค้งของผู้ติดเชื้อลงได้ นอกจากนั้น ภาคส่วนสาธารณสุขที่ต้องรับมืออย่างหนักหน่วงไม่จำเป็นต้องทำงานเกินตัว และบุคลากรทางการแพทย์ไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระหน้าที่ เพราะว่าสถานที่เลี้ยงเด็กและโรงเรียนประถมยังคงเปิดทำงานปกติ 
 
หลายประเทศกำลังจะใช้มาตรการตามสวีเดนในหลายด้านไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับความสำเร็จของสวีเดนอย่างเปิดเผยหรือไม่ก็ตาม เดนมาร์กและฟินแลนด์กลับมาเปิดโรงเรียนสำหรับเด็กๆ แล้ว เยอรมันกำลังจะเปิดร้านค้า อิตาลีก็กำลังจะเป็นสวนสาธารณะ ฝรั่งเศษมีแผนจะเปิดธรุกิจสินค้ารอง เช่น ตลาดเกษตรและพิพิธภัณฑ์ เช่นเดียวกับโรงเรียนและสถานดูแลเด็ก ที่อเมริกาซึ่งมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อมากที่สุด หลายรัฐได้ผ่อนคลายมาตรการการปิดเมือง ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการกดดันของประธานธิบดี
 
ทั้งนี้ มีหลายเหตุผลที่ดีในการเริ่มผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว เราคงต้องใช้เวลากันอีกหลายปีในการนับตัวเลขผู้เสียชีวิต การล้มละลาย การตกงาน การฆ่าตัวตาย ปัญหาทางจิต GDP ที่ลดลงและการลงทุนที่ขาดทุน และสิ่งที่เราต้องจ่ายอย่างอื่นอันเนื่องมาจากการใช้มาตรการป้องกันโควิด คงเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วว่าสิ่งที่เราต้องจ่ายไปไม่ว่าจะในทางสังคมและเศรษฐกิจนั้นมีมากมายมหาศาล จากการศึกษาของ OECD พบว่าในทุกเดือนของการใช้มาตรการปิดเมืองทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราทางเศรษฐกิจที่ลดลงร้อยละ 2 ทั้งนี้ ฝรั่งเศษ เยอรมัน อิตาลี สเปน อังกฤษ และอเมริกาจะเผชิญกับการหดตัวทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 25 ภายในปีนี้ เห็นได้จากอัตราคนว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นับตั้งแต่ปี 1930
 
การปิดประเทศจะไม่ดีและไม่ยั่งยืนสำหรับเวลาที่เราจะใช้ในการพัฒนาวัคซีน การเปิดประเทศจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง นอกจากนั้น มันยังเปิดทางให้ผู้คนช่วยสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งอย่างน้อยแล้วและในระยะยาวจะเป็นผลดีต่อการต่อสู้กับโควิด19 อย่างที่เราได้ยิน มนุษย์เรายังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้เท่าไรนัก แต่ประเทศที่ปิดจะเจอกับการปะทุครั้งใหม่ที่อาจจะหนักหนาสาหัสกว่าบนท้องถนน ดังนั้น ถ้าหากประเทศเหล่านี้ลองประยุกต์ใช้โมเดลของสวีเดนในการสร้าง herd immunity แล้ว สิ่งที่เราต้องจ่ายสำหรับโรคระบาดในครั้งนี้อาจจะลดลง และมันจะจบลงเร็วกว่าที่คิด
 
อย่างไรก็ดี แนวทางของสวีเดนอาจจะสะท้อนมาจากวัฒนธรรมเฉพาะของพวกเขา และบางส่วนอาจจะนำมาปรับใช้ได้ไม่ง่าย ตัวอย่างเช่น ค่านิยมการเชื่อฟังคำประกาศของรัฐและการรับผิดชอบตัวเองอาจจะไม่สามารถใช้กับที่อื่นได้ สวีเดนเป็นประเทศที่ผู้คนมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันสูง ไม่เพียงแต่ระหว่างผู้คนเท่านั้น แต่ระหว่างผู้คนและรัฐบาลด้วย คนสวีเดนมีวินัยกับคำแนะนำและเอาจริงเอาจังกับมัน แต่คนในประเทศอืนอาจจะทำอย่างนั้นไม่ได้ 
 
คนสวีเดนมีสุขภาพดีกว่าพลเมืองในหลายๆ ชาติ ดังนั้น มาตรการเพิ่มเติมอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศในการปกป้องกลุ่มคนที่ต้องดูแลพิเศษ ทั้งนี้ประเทศที่ต้องการเปิดประเทศหรือผ่อนคลายควรจะเรียนรู้ความผิดพลาดของสวีเดนในประเด็นด้านการดูแลผู้สูงวันและผู้อพยพ นั่นคือ หน้ากากและอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างอื่นต้องมีครบพร้อมใช้ นอกจากนั้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคนทำงานภาคบริการซึ่งมีความเสี่ยงสูงไม่ว่าด้วยปัจจัยทางด้านอายุหรือสุขภาพ ที่สำคัญ เราต้องให้น้ำหนักไปที่การช่วยเหลือคนที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้เขาปลอดภัย ไม่ใช่ทำการปิดเมืองทั้งหมด 
 
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาและทำความเข้าใจตัวไวรัสนี้และรัฐบาลประเทศต่างๆ ก็พยายามหาแนวทางในการรับมือกับการระบาดของโรค การอ้างเหตุผลในการปิดเมืองยิ่งฟังไม่ขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะในประเทศอเมริกาหรืออังกฤษ ที่ๆ ซึ่งมีคนที่มีความเสี่ยงสูง สิ่งที่ต้องจ่ายในการรักษาคนเหล่านี้ยังมีจำนวนน้อยกว่าน้อยกว่าการบังคับให้ทุกคนอยู่บ้าน ที่สำคัญที่สุด การจัดการที่จะนำไปสู่ herd immunity หมายถึง การป้องกันกลุ่มคนที่อ่อนแอ สวีเดนเรียนรู้เรื่องดังกล่าวอย่างยากลำบากแต่สถานการณ์ตอนนี้ที่นั้นกำลังไปได้ดี
 
ในขณะที่ความทุกข์ทรมานอันเป็นผลมาจากมาตรการปิดเมืองกำลังเพิ่มขึ้น ประเทศต่างๆ จะเดินมาสู่จุดที่พบว่าการจัดการโรคระบาด (ไม่ใช่การเอาชนะ) เป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด และจะมีประเทศต่างๆ เริ่มเปิดประเทศมากขึ้น การสร้างระยะห่างที่ชาญฉลาด (อันเป็นผลให้ระบบสาธารสุขไม่เอ่อล้น บำบัดผู้ป่วยได้ดีขึ้น และป้องกันคนกลุ่มเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ) จะช่วยลดอัตราการสูญเสียได้ ในที่สุดแล้ว การเพิ่ม herd immunity อาจจะเป็นการป้องกันเดียวที่ได้ผลดี เพราะจะช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงให้ปลอดภัย ฉะนั้น ไม่ว่าสวีเดนจะได้คะแนนเท่าไหร่ในการจัดการกับโควิด19 ก็ตาม ประเทศอื่นๆ เริ่มจะเห็นว่าสวีเดนกำลังอยู่หัวขบวนของเส้นเวลา
 
แปลโดย ปาตานีฟอรั่ม